ครม.เห็นชอบมาตรการรับมือวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ส่งเสริมกองทุนรวมซื้อหุ้นในตลาด คลังขยายวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้เสียภาษีที่ลงทุนในกองทุน RMF และกองทุน LTF
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 08.00 น. ณ อาคารท่าอากาศยานดอนเมือง นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมคณะกรรมการติดตามประสานงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน โดยมีนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาระดับ 10 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เข้าร่วมประชุม เพื่อหามาตรการรองรับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐอเมริกา และรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบในวันนี้
จากนั้น นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. และกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ได้ร่วมกันนำผลการประชุมเข้ารายงานที่ประชุม ครม. โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกประเด็นวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ บรรจุเป็นวาระแรกของการประชุม ต่อมาเวลา 10.00 น. นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ได้ร่วมกันแถลงข่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการที่มีการหารือร่วมกันครั้งนี้ ทั้งมาตรการระยะสั้น 3 เดือน และมาตรการระยะยาว โดยในส่วนตลาดทุนนั้น ตลาดหลักทรัพย์จะชี้แจงประชาสัมพันธ์ไม่ให้นักลงทุนไทยตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ โดยจะเน้นให้เห็นว่าเป็นช่วงจังหวะดีน่าเข้าลงทุนหุ้นไทยที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการดี เพราะราคาหุ้นตกลงมามากแล้ว นอกจากนี้จะส่งเสริมให้กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งของรัฐบาลและเอกชน เป็นผู้นำเข้ามาลงทุนหุ้นดีราคาถูก เพื่อจูงใจให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนตาม ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์และบริษัทกองทุนรวม และบริษัทจดทะเบียนที่มั่งคง ได้ร่วมมือกันจัดตั้งกองทุนที่เรียกว่า Matching Fund เพื่อเข้าไปซื้อหุ้นพื้นฐานดี ส่วนกระทรวงการคลังจะพิจารณาขยายวงเงิน และสัดส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้เสียภาษีที่ลงทุนในกองทุนระยะยาวเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนระยะยาวเพื่อลงทุนหุ้น (LTF) ในระยะ 3เดือนก่อนสิ้นปี โดยในวันนี้ตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการกองทุนรวม จะจัดงานตลาดนัดกองทุนรวม เพื่อให้ผู้มีรายได้ประจำเข้ามาลงทุนเพื่อรับการลดหย่อนภาษีที่มากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดเงิน จากการตรวจสอบการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่จะขายหุ้นนำเงินกลับออกไปนั้น จากการคำนวณจำนวนหุ้นที่ยังเหลืออยู่ พบว่าหากมีการขาย เราก็มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศกว่า 100,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอรองรับการนำเงินกลับประเทศของนักลงทุนต่างประเทศได้ ส่วนภาคเอกชนที่จะมีต้นทุนการกู้ต่างประเทศแพงขึ้น ก็อาจจะกู้ในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งจะช่วยชดเชยได้บ้าง สำหรับสภาพคล่องของสถาบันการเงินนั้น ธปท.ยืนยันว่ามีกลไกอำนวยการเรื่องสินเชื่อสภาพคล่องระยะสั้น ให้สถาบันการเงินทุกแห่งได้รับอย่างพอเพียง ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของกระทรวงการคลังพร้อมจะอำนวยสินเชื่อให้ประชาชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งปี 2551 และปี 2552 เพื่อให้เข้าถึงมือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบตามข้อเสนอสมาคมธนาคารไทยที่ให้ชะลอการการระดมทุนของต่างประเทศในรูปของบาทบอนด์ ไปสักระยะ จนกว่าปัญหาสภาพคล่องภายในประเทศจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากจัดการวิกฤตระยะสั้น 3 เดือน จะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนวิกฤตการเงินของโลกเป็นโอกาส ในการพัฒนาความร่วมมือทางการเงินระหว่างในเอเชีย เช่น เอเชียบอนด์
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การพิจารณาขยายวงเงินและสัดส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้จากการลงทุนกองทุน RMF และ LTF คาดว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดได้ภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าสัปดาห์หน้า เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์จาก 2 กองทุนสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันภายในปี 2551 และหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว กระทรวงการคลังจะเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะประชาชนระดับรากหญ้าผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML) จำนวน 19,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการลงทุน การบริโภคภายในประเทศ รวมถึงเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตการเงินโลกได้
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 08.00 น. ณ อาคารท่าอากาศยานดอนเมือง นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมคณะกรรมการติดตามประสานงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน โดยมีนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาระดับ 10 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เข้าร่วมประชุม เพื่อหามาตรการรองรับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐอเมริกา และรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบในวันนี้
จากนั้น นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. และกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ได้ร่วมกันนำผลการประชุมเข้ารายงานที่ประชุม ครม. โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกประเด็นวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ บรรจุเป็นวาระแรกของการประชุม ต่อมาเวลา 10.00 น. นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ได้ร่วมกันแถลงข่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการที่มีการหารือร่วมกันครั้งนี้ ทั้งมาตรการระยะสั้น 3 เดือน และมาตรการระยะยาว โดยในส่วนตลาดทุนนั้น ตลาดหลักทรัพย์จะชี้แจงประชาสัมพันธ์ไม่ให้นักลงทุนไทยตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ โดยจะเน้นให้เห็นว่าเป็นช่วงจังหวะดีน่าเข้าลงทุนหุ้นไทยที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการดี เพราะราคาหุ้นตกลงมามากแล้ว นอกจากนี้จะส่งเสริมให้กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งของรัฐบาลและเอกชน เป็นผู้นำเข้ามาลงทุนหุ้นดีราคาถูก เพื่อจูงใจให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนตาม ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์และบริษัทกองทุนรวม และบริษัทจดทะเบียนที่มั่งคง ได้ร่วมมือกันจัดตั้งกองทุนที่เรียกว่า Matching Fund เพื่อเข้าไปซื้อหุ้นพื้นฐานดี ส่วนกระทรวงการคลังจะพิจารณาขยายวงเงิน และสัดส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้เสียภาษีที่ลงทุนในกองทุนระยะยาวเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนระยะยาวเพื่อลงทุนหุ้น (LTF) ในระยะ 3เดือนก่อนสิ้นปี โดยในวันนี้ตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการกองทุนรวม จะจัดงานตลาดนัดกองทุนรวม เพื่อให้ผู้มีรายได้ประจำเข้ามาลงทุนเพื่อรับการลดหย่อนภาษีที่มากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดเงิน จากการตรวจสอบการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่จะขายหุ้นนำเงินกลับออกไปนั้น จากการคำนวณจำนวนหุ้นที่ยังเหลืออยู่ พบว่าหากมีการขาย เราก็มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศกว่า 100,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอรองรับการนำเงินกลับประเทศของนักลงทุนต่างประเทศได้ ส่วนภาคเอกชนที่จะมีต้นทุนการกู้ต่างประเทศแพงขึ้น ก็อาจจะกู้ในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งจะช่วยชดเชยได้บ้าง สำหรับสภาพคล่องของสถาบันการเงินนั้น ธปท.ยืนยันว่ามีกลไกอำนวยการเรื่องสินเชื่อสภาพคล่องระยะสั้น ให้สถาบันการเงินทุกแห่งได้รับอย่างพอเพียง ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของกระทรวงการคลังพร้อมจะอำนวยสินเชื่อให้ประชาชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งปี 2551 และปี 2552 เพื่อให้เข้าถึงมือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบตามข้อเสนอสมาคมธนาคารไทยที่ให้ชะลอการการระดมทุนของต่างประเทศในรูปของบาทบอนด์ ไปสักระยะ จนกว่าปัญหาสภาพคล่องภายในประเทศจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากจัดการวิกฤตระยะสั้น 3 เดือน จะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนวิกฤตการเงินของโลกเป็นโอกาส ในการพัฒนาความร่วมมือทางการเงินระหว่างในเอเชีย เช่น เอเชียบอนด์
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การพิจารณาขยายวงเงินและสัดส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้จากการลงทุนกองทุน RMF และ LTF คาดว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดได้ภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าสัปดาห์หน้า เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์จาก 2 กองทุนสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันภายในปี 2551 และหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว กระทรวงการคลังจะเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะประชาชนระดับรากหญ้าผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML) จำนวน 19,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการลงทุน การบริโภคภายในประเทศ รวมถึงเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตการเงินโลกได้
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--