นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องข้าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมอาคารรับรองพิเศษท่าอากาศยานดอนเมือง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องข้าว ร่วมกับนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายหลังการประชุมในเวลา 11.40 น. ณ ห้องแถลงข่าวอาคารรับรองพิเศษท่าอากาศยานดอนเมือง นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
การประชุมในวันนี้เป็นการประชุมปรึกษาหารือในเบื้องต้นเรื่องข้าวที่ประชาชนให้ความสนใจและมีผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งผลการหารือเบื้องต้นเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจะมีการแต่งตั้งภายหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วภายใน 2-3 วันนี้ ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับข้าวในขณะนี้คือ ช่วงที่ผ่านมามีผู้ที่ต้องการซื้อข้าวจากประเทศต่าง ๆ ได้ติดต่อกับกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งติดต่อโดยตรงกับเอกชนผู้ค้าข้าวเป็นจำนวนมาก ว่ามีความต้องการซื้อข้าวจากประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงปลายปีที่หมดฤดูข้าวนาปรัง และกำลังเริ่มต้นฤดูกาลข้าวนาปี ที่จะมีผลผลิตข้าวออกมาประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
โดยในเรื่องการรับจำนำข้าวนาปรังที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ดำเนินการรับจำนำจนครบถ้วนไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อมีผู้ติดต่อขอซื้อข้าวจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ที่ประชุมวันนี้จึงมีมติว่าจะต้องช่วยภาคเอกชนระบายข้าว ที่ส่วนหนึ่งมาจากสต๊อกของปีก่อน และอีกส่วนหนึ่งมาจากที่ ธกส. รับจำนำไว้ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมดำเนินการไว้แล้ว โดยทันทีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการข้าวแห่งชาติแล้ว จะมีการกำหนดแนวทางกลยุทธ์ในการระบายข้าวออกสู่ต่างประเทศ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง ธกส. ด้วย ทั้งนี้ ในเรื่องการระบายข้าว ภาคเอกชนได้ระบายข้าวออกตามปกติอยู่แล้ว โดยล่าสุดมีการส่งออกข้าวไปต่างประเทศประมาณ 800,000 ตันข้าวสาร ส่วนข้าวนาปรังในสต๊อกเดิมที่สีเป็นข้าวสารแล้วอีกจำนวนหนึ่ง กระทรวงพาณิชย์และผู้ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการระบายเสริมจากที่ภาคเอกชนดำเนินการ ตามที่มีผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกินกำลังที่ภาคเอกชนจะระบายได้ ภาครัฐจึงจะเข้าไปช่วยดำเนินการระบายข้าวเพื่อเป็นการส่งเสริมการส่งออกของภาคเอกชน ทั้งนี้ การระบายข้าวไม่มีความจำเป็นจะต้องเร่งระบายออกครั้งใหญ่ เพราะมีผู้ที่ต้องการซื้อข้าวมากกว่าข้าวในสต๊อกที่เรามีอยู่มาก ฉะนั้นจึงจะมีการระบายออกไปเป็นจังหวะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการข้าว โดยการระบายข้าวจะต้องมีหลักการที่โปร่งใสและเป็นประโยชน์กับประเทศและเกษตรกรเป็นหลัก
" การบริหารจัดการทั้งหมดจะมี 2 ระดับ คือระดับนโยบายและกลยุทธ์หลัก คือคณะกรรมการข้าวแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และระดับปฏิบัติการที่จะดำเนินการให้เป็นผลตามเป้าหมายของคณะกรรมการระดับนโยบายฯ โดยจะมีการแบ่งการดำเนินงานปลีกย่อย ทำงานเป็นทีม มีผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกกระทรวงที่ดำเนินงานเรื่องข้าว ร่วมเป็นองค์ประกอบ รวมทั้งจะมีสถาบันการเงินมาช่วยดูแลในเรื่องการจัดหาสินเชื่อ เพื่อที่จะทำให้ผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกมาในปลายปีได้หมุนเวียนตามปกติ อำนวยสินเชื่อให้มีสภาพคล่องเพื่อให้เกษตรกรสามารถขายพืชผล มีรายได้หมุนเวียนใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจด้านอื่นหมุนเวียนตามไปด้วย" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ได้รับรายงานจากกรมส่งเสริมการส่งออกว่า มีหลายประเทศที่สนใจจะซื้อข้าวไทย อาทิ อิหร่าน รวมทั้งหลายประเทศในตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะนำทีมผู้ประกอบการออกไปพบกับประเทศที่ต้องการค้าข้าวกับไทย โดยจะดำเนินการภายหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว
ด้าน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงราคาการรับจำนำข้าวนาปีว่า จะมีความชัดเจนภายหลังจากมีการประชุมคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ และ คชก. แล้ว โดยอัตราการรับจำนำข้าวนาปี จะมีการพิจารณาตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ จะต้องมีการเร่งดำเนินการโดยเร็วเพราะขณะนี้ใกล้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว ขณะที่ปริมาณข้าวสารในสต๊อกในขณะนี้มีอยู่ 2.1 ล้านตัน รวมกับข้าวนาปรังที่รับจำนำข้าวเปลือกไว้จำนวน 4 ล้านตันที่จะแปรเป็นข้าวสารได้ 2.2 ล้านตัน จึงรวมจำนวนข้าวในสต๊อกทั้งหมด 4.3 ล้านตัน ซึ่งวันนี้นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าโครงการรับจำนำข้าวนาปีจะเดินหน้าแน่นอน โดยคณะกรรมการข้าวแห่งชาติและ คชก. จะไปดำเนินงานตามที่เคยปฏิบัติมา
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมอาคารรับรองพิเศษท่าอากาศยานดอนเมือง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องข้าว ร่วมกับนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายหลังการประชุมในเวลา 11.40 น. ณ ห้องแถลงข่าวอาคารรับรองพิเศษท่าอากาศยานดอนเมือง นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
การประชุมในวันนี้เป็นการประชุมปรึกษาหารือในเบื้องต้นเรื่องข้าวที่ประชาชนให้ความสนใจและมีผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งผลการหารือเบื้องต้นเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจะมีการแต่งตั้งภายหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วภายใน 2-3 วันนี้ ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับข้าวในขณะนี้คือ ช่วงที่ผ่านมามีผู้ที่ต้องการซื้อข้าวจากประเทศต่าง ๆ ได้ติดต่อกับกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งติดต่อโดยตรงกับเอกชนผู้ค้าข้าวเป็นจำนวนมาก ว่ามีความต้องการซื้อข้าวจากประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงปลายปีที่หมดฤดูข้าวนาปรัง และกำลังเริ่มต้นฤดูกาลข้าวนาปี ที่จะมีผลผลิตข้าวออกมาประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
โดยในเรื่องการรับจำนำข้าวนาปรังที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ดำเนินการรับจำนำจนครบถ้วนไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อมีผู้ติดต่อขอซื้อข้าวจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ที่ประชุมวันนี้จึงมีมติว่าจะต้องช่วยภาคเอกชนระบายข้าว ที่ส่วนหนึ่งมาจากสต๊อกของปีก่อน และอีกส่วนหนึ่งมาจากที่ ธกส. รับจำนำไว้ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมดำเนินการไว้แล้ว โดยทันทีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการข้าวแห่งชาติแล้ว จะมีการกำหนดแนวทางกลยุทธ์ในการระบายข้าวออกสู่ต่างประเทศ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง ธกส. ด้วย ทั้งนี้ ในเรื่องการระบายข้าว ภาคเอกชนได้ระบายข้าวออกตามปกติอยู่แล้ว โดยล่าสุดมีการส่งออกข้าวไปต่างประเทศประมาณ 800,000 ตันข้าวสาร ส่วนข้าวนาปรังในสต๊อกเดิมที่สีเป็นข้าวสารแล้วอีกจำนวนหนึ่ง กระทรวงพาณิชย์และผู้ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการระบายเสริมจากที่ภาคเอกชนดำเนินการ ตามที่มีผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกินกำลังที่ภาคเอกชนจะระบายได้ ภาครัฐจึงจะเข้าไปช่วยดำเนินการระบายข้าวเพื่อเป็นการส่งเสริมการส่งออกของภาคเอกชน ทั้งนี้ การระบายข้าวไม่มีความจำเป็นจะต้องเร่งระบายออกครั้งใหญ่ เพราะมีผู้ที่ต้องการซื้อข้าวมากกว่าข้าวในสต๊อกที่เรามีอยู่มาก ฉะนั้นจึงจะมีการระบายออกไปเป็นจังหวะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการข้าว โดยการระบายข้าวจะต้องมีหลักการที่โปร่งใสและเป็นประโยชน์กับประเทศและเกษตรกรเป็นหลัก
" การบริหารจัดการทั้งหมดจะมี 2 ระดับ คือระดับนโยบายและกลยุทธ์หลัก คือคณะกรรมการข้าวแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และระดับปฏิบัติการที่จะดำเนินการให้เป็นผลตามเป้าหมายของคณะกรรมการระดับนโยบายฯ โดยจะมีการแบ่งการดำเนินงานปลีกย่อย ทำงานเป็นทีม มีผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกกระทรวงที่ดำเนินงานเรื่องข้าว ร่วมเป็นองค์ประกอบ รวมทั้งจะมีสถาบันการเงินมาช่วยดูแลในเรื่องการจัดหาสินเชื่อ เพื่อที่จะทำให้ผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกมาในปลายปีได้หมุนเวียนตามปกติ อำนวยสินเชื่อให้มีสภาพคล่องเพื่อให้เกษตรกรสามารถขายพืชผล มีรายได้หมุนเวียนใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจด้านอื่นหมุนเวียนตามไปด้วย" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ได้รับรายงานจากกรมส่งเสริมการส่งออกว่า มีหลายประเทศที่สนใจจะซื้อข้าวไทย อาทิ อิหร่าน รวมทั้งหลายประเทศในตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะนำทีมผู้ประกอบการออกไปพบกับประเทศที่ต้องการค้าข้าวกับไทย โดยจะดำเนินการภายหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว
ด้าน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงราคาการรับจำนำข้าวนาปีว่า จะมีความชัดเจนภายหลังจากมีการประชุมคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ และ คชก. แล้ว โดยอัตราการรับจำนำข้าวนาปี จะมีการพิจารณาตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ จะต้องมีการเร่งดำเนินการโดยเร็วเพราะขณะนี้ใกล้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว ขณะที่ปริมาณข้าวสารในสต๊อกในขณะนี้มีอยู่ 2.1 ล้านตัน รวมกับข้าวนาปรังที่รับจำนำข้าวเปลือกไว้จำนวน 4 ล้านตันที่จะแปรเป็นข้าวสารได้ 2.2 ล้านตัน จึงรวมจำนวนข้าวในสต๊อกทั้งหมด 4.3 ล้านตัน ซึ่งวันนี้นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าโครงการรับจำนำข้าวนาปีจะเดินหน้าแน่นอน โดยคณะกรรมการข้าวแห่งชาติและ คชก. จะไปดำเนินงานตามที่เคยปฏิบัติมา
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--