นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ อนุมัติมาตรการ 6 ด้าน เพื่อรับมือวิกฤตการเงินสหรัฐที่อาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทย พร้อมกับเพื่อรองรับกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินของโลก
วันนี้ เวลา 10.00 น. ห้องประชุมชั้น 4 ท่าอากาศยานกรุงเทพ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ภายหลังการประชุมในเวลา 12.30 น. นายโอฬ่าร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจวันนี้อนุมัติมาตรการ 6 ด้าน เพื่อรับมือวิกฤตการเงินสหรัฐที่อาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทย พร้อมกับเพื่อรองรับกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินของโลก คิดเป็นงบประมาณจากมาตรการทั้งหมดรวม 1,200,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจในปี 2552 เติบโตได้ร้อยละ 4 ซึ่งตั้งเป็นแผนรองรับทั้งเชิงรับและเชิงรุกในช่วง 3 — 6 เดือนข้างหน้าของประเทศไทย ประกอบด้วย 6 มาตรการคือ
1. มาตรการตลาดทุน ที่จะขยายโอกาสให้คนไทยได้ซื้อหุ้นราคาถูก ผลตอบแทนสูง และมีการขยายวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF/LTF จาก 500,000 เป็น 700,000 บาทต่อปี 2. สภาพคล่องมีเพียงพอถึงทุกธุรกิจ ที่สภาพคล่องทางการเงินโดยรวมต้องมีเพียงพอ และต้องถึงผู้ประกอบการ โดยสถาบันการเงินสนับสนุนการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันว่าสภาพคล่องเงินบาทมีเพียงพอ และพร้อมที่จะดูแลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อการขยายตัว ทั้งนี้ มีเป้าหมายว่าระบบการเงินการธนาคารในปี 2552 สินเชื่อจะต้องมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรือ 400,000 ล้านบาท และ SFI (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน) จะขยายสินเชื่ออีก 50,000 ล้านบาท จาก 1.10 เป็น 1.15 ล้านบาท 3. เร่งรัดรายได้ส่งออกและท่องเที่ยว ที่มีเป้าหมายให้การส่งออกและการท่องเที่ยว มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 เป็นมูลค่าการส่งออก 300,000 ล้านบาท และการท่องเที่ยว 60,000 ล้านบาท โดยเน้นการร่วมมือเพื่อนำไปสู่การขยายตลาดในเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้าน ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา ซึ่งยังมีกำลังซื้อ โดยเน้นใช้ทีมไทยแลนด์ รวมทั้งมีสินเชื่อเพื่อการส่งออกและหมุนการค้าของสินค้าในประเทศอย่างเพียงพอ 4. สร้างเศรษฐกิจในประเทศ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ — ไทยเที่ยวไทย 2552 รองรับโดยสินเชื่อขยายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรือเพิ่มขึ้น 450,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ให้มีการเบิกจ่ายให้มากที่สุดภายในครึ่งแรกปีงบประมาณ 5. เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เมกะโปรเจคท์ โดยเพิ่มงบลงทุนอีก 100,000 บาทจาก 250,000 เป็น 350,000 ล้านบาท แบ่งเป็น MRT 60,000 ล้านบาท และระบบขนส่งทั่วประเทศ 10,000 ล้านบาท 6. ประชาคมการเงินในเอเชีย หลังจากเกิดวิกฤติจะเร่งสร้างชุมนุมเอเชีย โดยญี่ปุ่นและจีนจะต้องมีบทบาทนำระบบการเงินของโลก เอเชียต้องรักษาสถานการณ์ขยายตัวสูงให้มั่นคง เพื่อประคองเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจโลก มีความร่วมมือทางการเงินเพื่อสร้างสภาพคล่องร่วมกัน เพื่อผลักดันการค้าภายในภูมิภาค
" หากปี 2552 รัฐบาลสามารถดำเนินตาม 6 มาตรการได้ ซึ่งเป็นเม็ดเงินรวม 1.2 ล้านล้านบาท จะช่วยประคองให้เศรษฐกิจปี 52 ขยายตัวได้ 4 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลพร้อมทำทุกด้านเพื่อให้เศรษฐกิจไทยรอดพ้นจากวิกฤตการเงินของโลก และประคับประคองให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดแผนรับมือทั้งในเชิงรับกับวิกฤตที่เกิดขึ้นจากภายนอก ต่อเรื่องการเงินเป็นส่วนใหญ่ และเป็นการที่จะใช้โอกาสอันนี้ที่ธนาคารและเศรษฐกิจของเอเชียมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะจีนที่จะร่วมมือกันใช้พลังที่เกิดขึ้นใหม่ในเศรษฐกิจและการเงินของเอเชีย ช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสที่จะพัฒนาความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียทั้งทางด้านเศรษฐกิจซึ่งเรามีอยู่แล้ว และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทางด้าน การเงินซึ่งจะเป็นแนวทางใหม่ คือการจะสร้างชุมชนทางการเงินแห่งเอเชีย หรือ Asian Financial Community ขึ้นมาใหม่เป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ทดแทนศูนย์การเงินเดิมที่ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไปเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงระดับวิกฤตในปัจจุบัน” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้าน นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าในภาคการท่องเที่ยว วันนี้ได้เสนอ 5 ประเด็นใหม่ต่อรัฐบาลคือ ประเด็นด้านการเงิน ด้านการคลัง ด้านการตลาด ด้านการบริการ และด้านการลงทุน โดยด้านการเงินมีความเห็นพ้องว่าจะมีสินเชื่อประมาณ 60,000 ล้านบาทที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ SMEs ท่องเที่ยว ขยับขยายธุรกิจได้ดีขึ้น ด้านการคลัง จะเป็นการปรับดูแลมาตรการสนับสนุนการลงทุนทางด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคบริการที่ยังจะต้องมีการปรับแก้ในส่วนมาตรการที่จะช่วยเหลือเพื่อให้ 14 Cluster ในด้านการท่องเที่ยวได้รับโอกาสในการลงทุนได้ดีขึ้น สำหรับด้านการตลาด และการบริการจะจัดให้มี Thailand Grand Sale สำหรับ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ สำหรับผู้ที่จะตัดสินใจเข้ามาซื้อสินค้าทางด้านการท่องเที่ยวของไทย โดยจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้เกษียณอายุ นักศึกษา เป็นกลุ่มเริ่ม รวมทั้งจัด Grand Event ซึ่งจะมีกิจกรรมทั้งด้านกีฬา อาหาร เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ การนันทนาการ และเรื่องสุขภาพ ซึ่งจะทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อทำให้สินค้าทางการท่องเที่ยวของไทย ได้จุดประกายและทำให้มีสีสันมากขึ้น และในด้านการลงทุน จะได้มีการจัดงบลงทุนทำป้ายห้องน้ำ ไฟส่องสว่างต่าง ๆ ตามแหล่งท่องเที่ยว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 10.00 น. ห้องประชุมชั้น 4 ท่าอากาศยานกรุงเทพ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ภายหลังการประชุมในเวลา 12.30 น. นายโอฬ่าร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจวันนี้อนุมัติมาตรการ 6 ด้าน เพื่อรับมือวิกฤตการเงินสหรัฐที่อาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทย พร้อมกับเพื่อรองรับกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินของโลก คิดเป็นงบประมาณจากมาตรการทั้งหมดรวม 1,200,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจในปี 2552 เติบโตได้ร้อยละ 4 ซึ่งตั้งเป็นแผนรองรับทั้งเชิงรับและเชิงรุกในช่วง 3 — 6 เดือนข้างหน้าของประเทศไทย ประกอบด้วย 6 มาตรการคือ
1. มาตรการตลาดทุน ที่จะขยายโอกาสให้คนไทยได้ซื้อหุ้นราคาถูก ผลตอบแทนสูง และมีการขยายวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF/LTF จาก 500,000 เป็น 700,000 บาทต่อปี 2. สภาพคล่องมีเพียงพอถึงทุกธุรกิจ ที่สภาพคล่องทางการเงินโดยรวมต้องมีเพียงพอ และต้องถึงผู้ประกอบการ โดยสถาบันการเงินสนับสนุนการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันว่าสภาพคล่องเงินบาทมีเพียงพอ และพร้อมที่จะดูแลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อการขยายตัว ทั้งนี้ มีเป้าหมายว่าระบบการเงินการธนาคารในปี 2552 สินเชื่อจะต้องมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรือ 400,000 ล้านบาท และ SFI (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน) จะขยายสินเชื่ออีก 50,000 ล้านบาท จาก 1.10 เป็น 1.15 ล้านบาท 3. เร่งรัดรายได้ส่งออกและท่องเที่ยว ที่มีเป้าหมายให้การส่งออกและการท่องเที่ยว มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 เป็นมูลค่าการส่งออก 300,000 ล้านบาท และการท่องเที่ยว 60,000 ล้านบาท โดยเน้นการร่วมมือเพื่อนำไปสู่การขยายตลาดในเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้าน ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา ซึ่งยังมีกำลังซื้อ โดยเน้นใช้ทีมไทยแลนด์ รวมทั้งมีสินเชื่อเพื่อการส่งออกและหมุนการค้าของสินค้าในประเทศอย่างเพียงพอ 4. สร้างเศรษฐกิจในประเทศ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ — ไทยเที่ยวไทย 2552 รองรับโดยสินเชื่อขยายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรือเพิ่มขึ้น 450,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ให้มีการเบิกจ่ายให้มากที่สุดภายในครึ่งแรกปีงบประมาณ 5. เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เมกะโปรเจคท์ โดยเพิ่มงบลงทุนอีก 100,000 บาทจาก 250,000 เป็น 350,000 ล้านบาท แบ่งเป็น MRT 60,000 ล้านบาท และระบบขนส่งทั่วประเทศ 10,000 ล้านบาท 6. ประชาคมการเงินในเอเชีย หลังจากเกิดวิกฤติจะเร่งสร้างชุมนุมเอเชีย โดยญี่ปุ่นและจีนจะต้องมีบทบาทนำระบบการเงินของโลก เอเชียต้องรักษาสถานการณ์ขยายตัวสูงให้มั่นคง เพื่อประคองเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจโลก มีความร่วมมือทางการเงินเพื่อสร้างสภาพคล่องร่วมกัน เพื่อผลักดันการค้าภายในภูมิภาค
" หากปี 2552 รัฐบาลสามารถดำเนินตาม 6 มาตรการได้ ซึ่งเป็นเม็ดเงินรวม 1.2 ล้านล้านบาท จะช่วยประคองให้เศรษฐกิจปี 52 ขยายตัวได้ 4 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลพร้อมทำทุกด้านเพื่อให้เศรษฐกิจไทยรอดพ้นจากวิกฤตการเงินของโลก และประคับประคองให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดแผนรับมือทั้งในเชิงรับกับวิกฤตที่เกิดขึ้นจากภายนอก ต่อเรื่องการเงินเป็นส่วนใหญ่ และเป็นการที่จะใช้โอกาสอันนี้ที่ธนาคารและเศรษฐกิจของเอเชียมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะจีนที่จะร่วมมือกันใช้พลังที่เกิดขึ้นใหม่ในเศรษฐกิจและการเงินของเอเชีย ช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสที่จะพัฒนาความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียทั้งทางด้านเศรษฐกิจซึ่งเรามีอยู่แล้ว และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทางด้าน การเงินซึ่งจะเป็นแนวทางใหม่ คือการจะสร้างชุมชนทางการเงินแห่งเอเชีย หรือ Asian Financial Community ขึ้นมาใหม่เป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ทดแทนศูนย์การเงินเดิมที่ค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไปเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงระดับวิกฤตในปัจจุบัน” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้าน นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าในภาคการท่องเที่ยว วันนี้ได้เสนอ 5 ประเด็นใหม่ต่อรัฐบาลคือ ประเด็นด้านการเงิน ด้านการคลัง ด้านการตลาด ด้านการบริการ และด้านการลงทุน โดยด้านการเงินมีความเห็นพ้องว่าจะมีสินเชื่อประมาณ 60,000 ล้านบาทที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ SMEs ท่องเที่ยว ขยับขยายธุรกิจได้ดีขึ้น ด้านการคลัง จะเป็นการปรับดูแลมาตรการสนับสนุนการลงทุนทางด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคบริการที่ยังจะต้องมีการปรับแก้ในส่วนมาตรการที่จะช่วยเหลือเพื่อให้ 14 Cluster ในด้านการท่องเที่ยวได้รับโอกาสในการลงทุนได้ดีขึ้น สำหรับด้านการตลาด และการบริการจะจัดให้มี Thailand Grand Sale สำหรับ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ สำหรับผู้ที่จะตัดสินใจเข้ามาซื้อสินค้าทางด้านการท่องเที่ยวของไทย โดยจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้เกษียณอายุ นักศึกษา เป็นกลุ่มเริ่ม รวมทั้งจัด Grand Event ซึ่งจะมีกิจกรรมทั้งด้านกีฬา อาหาร เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ การนันทนาการ และเรื่องสุขภาพ ซึ่งจะทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อทำให้สินค้าทางการท่องเที่ยวของไทย ได้จุดประกายและทำให้มีสีสันมากขึ้น และในด้านการลงทุน จะได้มีการจัดงบลงทุนทำป้ายห้องน้ำ ไฟส่องสว่างต่าง ๆ ตามแหล่งท่องเที่ยว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--