นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายรัฐบาลและแนวทางการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

ข่าวกฏหมายและประกาศ Thursday October 16, 2008 12:00 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลและแนวทางการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

วันนี้ เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพคเมืองทองธานี จังหวัด นนทบุรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลและแนวทางการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 700 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตลอดจน ผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานอิสระ และผู้ว่าราชการจังหวัด

นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมฯ ในวันนี้ว่า เพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงนโยบายของรัฐบาลให้แก่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานต่าง ๆ นำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมในวันนี้ว่า เป็นการชี้แจงและทำความเข้าใจในการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมกล่าวว่า ที่ผ่านมาบ้านเมืองของเรามีปัญหาบ้างในเรื่องของความสามัคคีและปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายจึงจะทำได้สำเร็จ รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความปรองดองของคนในชาติและจะต้องมีการนำหลักกฎหมายมาใช้ในการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ควบคู่กับการพัฒนาบ้านเมืองให้มีความอยู่รอด อาทิ การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่งคงในการดำรงชีวิต อันจะนำไปสู่ความมั่งมีศรีสุขของประชาชน เป็นการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงักไปมาก รวมทั้งด้านการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งรัฐบาลได้พยายามสร้างฐานเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ แต่ก็มีปัญหาจากผลกระทบด้านธุรกิจทางการเงินโลก ทำให้กระทบกระเทือนต่อปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการรองรับ แต่ทั้งนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยด้วย โดยรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะ 4 ชุด ได้แก่ 1. คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) 2. คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ 3. คณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 4. คณะกรรมการกำกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล

สำหรับนโยบายหลักของรัฐบาลใน 3 ปีที่จะต้องทำต่อไปนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงว่า มีหลายโครงการ อาทิ โครงการระบบการขนส่งมวลชน ระบบรถไฟรางคู่เชื่อมกับระบบรถไฟฟ้า โครงการขยายถนนวงแหวาน โครงการปรับปรุงระบบน้ำ รวมทั้งการส่งเสริมให้ประชาชนได้มีโอกาสและเพิ่มรายได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลจะนำพลังงานเข้ามาจากต่างประเทศ และจะรณรงค์ให้คนไทยใช้สินค้าไทยในโอกาสเทศกาลต่าง ๆ โดยจะมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอความร่วมมือจากทุกจังหวัดในการให้คนไทยซื้อของขวัญจากคนไทยที่ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น เพื่อไม่ให้เสียดุลการค้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องการลงทุนภายในประเทศว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะปัจจุบันประเทศไทยขาดความเชื่อมั่นจากต่างชาติ และผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกทำให้ประเทศไทยขาดเงินทุนไปมาก รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนโครงการ SML และธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ส่วนเรื่องการลดค่าใช้จ่ายในมาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลชุดก่อนนั้น รัฐบาลจะยังคงทำต่อไป เพราะถือว่าเป็นโครงการที่ดีที่สามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เรื่องทุนการศึกษา รัฐบาลก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาทางสังคมว่าจะหาทางออกอย่างไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทุกคนที่จะต้องร่วมกันแก้ไข โดยการขจัดปัญหาความขัดแย้ง ขจัดปัญหาที่เดือดร้อน ขจัดปัญหาความยากจน ขจัดปัญหาการด้อยโอกาส ด้อยการศึกษา ต้องร่วมกันทั้งหมด กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐบาลได้ยึดมั่นในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชนทั้งหมด

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทางหนึ่งที่รัฐบาลคาดว่าจะสามารถลดปัญหาความขัดแย้งลงได้บ้าง คือการปรับปรุงแนวทางทางการเมือง โดยรัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นจากคนไทยทุกคน ซึ่งมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ฟังเฉพาะใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และในระยะเวลาอันใกล้นี้ ประเทศไทยจะมีการจัดงานใหญ่ 3 งาน ที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันคือ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14 — 19 พฤศจิกายน 2551 โดยวันที่ 20 ตุลาคมนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินทรงยกฉัตรพระเมรุ และในเดือนธันวาคมจะมีการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม รวมทั้งการจัดงานประชุมผู้นำอาเซียน รัฐบาลจึงอยากให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันคลี่คลายเหตุการณ์ที่เกิดในขณะนี้ เพื่อรัฐบาลจะได้จัดงานดังกล่าว ให้เป็นไปอย่างสมเกียรติ ยิ่งใหญ่ และเป็นที่เชื่อถือของทุกประเทศ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันในฐานะหัวหน้ารัฐบาลว่า จะทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ และซื่อสัตย์สุจริต

จากนั้น นายโอฬาร ชัยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงนโยบายรัฐบาลว่าประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปี แรก จำนวน 16 เรื่อง แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ 2) การสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน 3) การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เกษตรกร และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และ 4. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ

2. นโยบายรัฐบาลตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ แบ่งเป็น 7 นโยบาย คือ 1) นโยบายความมั่นคงของรัฐ 2) นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต 3) นโยบายเศรษฐกิจ 4) นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5) นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 6) นโยบายการต่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 7) นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 แต่งตั้งให้ นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อยกร่างแผนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 — 2554 โดยมีหลักการจัดทำแผนราชการแผ่นดิน 5 ประการ ดังนี้ 1. กระทรวงและส่วนราชการดำเนินการปรับแผนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2551 — 2554 ให้มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน 2. กระทรวงและส่วนราชการดำเนินการปรับแผนการดำเนินราชการของแผนงานหรือโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ในปี พ.ศ. 2552 ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการได้ในปีแรกที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยประสานกับสำนักงบประมาณ เพื่อร่วมกันพิจารณาปรับแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จและสอดคล้องกับงบประมาณที่ส่วนราชการได้รับการจัดสรรก่อน และจัดส่งแผนการบริหารราชการแผ่นดินนี้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบบูรณาการแผนงาน โครงการของแต่ละนโยบายของรัฐบาล 3. กระทรวงและส่วนราชการดำเนินการปรับแผนงาน แผนโครงการที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในข้อที่ 2-8 4. การปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงและส่วนราชการในการจัดเตรียมแผนงาน โครงการ ตามนโยบายของรัฐบาล ควรยึดหลักความจำเป็นและกรอบวินัยการคลัง 5. การจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องบูรณาการแผนงาน โครงการของกระทรวงต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาลทั้ง 8 ข้อ

สำหรับการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินในครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้กำหนดหน่วยงานที่ทำหน้าที่บูรณาการแผนงาน โครงการ ของนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลและขั้นตอนการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่บูรณาการแผนงาน โครงการในนโยบายเร่งด่วน ที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนโยบายทางด้านการต่างประเทศ 2. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ บูรณาการนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และนโยบายความมั่นคงของรัฐ 3. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ บูรณาการนโยบายด้านการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 4. สำนักงานงบประมาณ ประสานกระทรวงและส่วนราชการในการปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2552 ให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และบูรณาการงบประมาณแผ่นดินในช่วงปี พ.ศ. 2552-2554 5. สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง พิจารณาและบูรณาการแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการใช้ตามแผนงาน โครงการ ทั้งนี้ ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบแล้ว เมื่อเสร็จให้จัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้ประมวล รวบรวม เพื่อจัดทำเป็นแผนงานบริหารราชการแผ่นดินเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป

เมื่อกระทรวงหรือส่วนราชการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินที่ได้มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละนโยบายแล้ว ให้จัดส่งแผนการบริหารราชการแผ่นดินผ่านรัฐมนตรีเจ้าสังกัดและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงหรือส่วนราชการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนจัดส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบข้างต้น ในส่วนที่รับผิดชอบต่อไป

สำหรับระยะเวลาในการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน กระทรวงและส่วนราชการจะต้องส่งแผนการบริหารราชการแผ่นดินให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกระทรวงการคลังภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2551 ทั้งนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบข้างต้น จะบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2551 เพื่อจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประมวล รวบรวม จัดทำเป็นแผนการบริหารราชการแผ่นดินประจำปี พ.ศ. 2552-2554 และนำเสนอคณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ในวันที่ 27 ตุลาคม 2551 และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาไม่เกินวันที่ 28 ตุลาคม 2551 ต่อไป

--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ