วันนี้ เวลา 18.25 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอดประจำปี 2549 “ละศีลอด รอมฎอน ปีฮิจเราะห์ศักราช 1427”แก่คณะทูตานุทูตประเทศมุสลิมในประเทศไทย ผู้นำทางศาสนาอิสลาม และบุคคลสำคัญจากวงการต่าง ๆ ของชุมชนมุสลิมในประเทศไทย เพื่อให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามและกระชับสัมพันธ์ต่อชุมชนมุสลิมในไทยและมิตรประเทศของไทยในโลกมุสลิม โดยมีพันเอกหญิง คุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยานายกรัฐมนตรี ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี เอคอัครราชทูตประเทศมุสลิมประจำประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศมุสลิม ผู้แทนองค์กรมุสลิมในประเทศ สื่อมวลชนมุสลิมและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวม 150 คน เข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน สรุปสาระสำคัญว่า การนับถือศาสนาเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกคนในโลก การมีศาสนาเกิดขึ้นในโลกถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มวลมนุษยชาติมีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดร่วมอยู่ด้วยกันประการหนึ่ง คือการสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ศาสนาอิสลามเป็นหนึ่งในศาสนาสากลสำหรับมนุษยชาติ ปัจจุบันมีประชาชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกนับถือศาสนาอิสลามจำนวนมากกว่าหนึ่งพันล้านคน ซึ่งประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นอันดับสองรองจากศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลามได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
“คัมภีร์อัล-กุรอ่านอันศักดิ์สิทธิ์สอนว่าเดือนรอมฎอนคือช่วงเวลาแห่งการถือศีลอด และบำเพ็ญศาสนกิจต่าง ๆ ตามหลักปฏิบัติพื้นฐานของศาสนา อันรวมถึงการสวดมนต์ การใคร่ครวญ การอุทิศตนช่วยเหลือผู้ยากไร้ การกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและชุมชน การรักษาข้องดเว้นต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนการสำรวมกาย วาจา ใจ อยู่ตลอดเวลาเพื่อพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อชำระกายใจให้บริสุทธิ์ รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในสิทธิเสรีภาพของพี่น้องคนไทยที่จะเลือกนับถือศาสนา และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อถือศรัทธาของตน และได้สนับสนุนพี่น้องชาวมุสลิมในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อันจะนำไปสู่คุณธรรมนานาประการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต จิตใจ และนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมไทยอย่างยั่งยืนสืบไป ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมประทับใจในความยึดมั่นศรัทธาในศาสนาของชาวมุสลิม ที่นำมาสู่การปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ของทุกคนอย่างเข้มแข็ง มีความอดทนอดกลั้นตามคำสั่งสอนของศาสดา อันเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชนทั่วไป พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลยินดีที่จะให้การสนับสนุนและร่วมมือกับพี่น้องมุสลิมในทุกกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้
ทั้งนี้ ก่อนหน้างานเลี้ยงอาหารค่ำ งานละศีลอดได้เริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 17.30 น. โดยผู้เข้าร่วมงาน“ละศีลอด” รอมฎอน ปี ฮ.ศ. 1427 เดินทางถึงตึกสันติไมตรี พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต้อนรับคณะทูตานุทูต จากนั้นได้เริ่มการละศีลอดในเวลา 18.01 น. โดยผู้ร่วมงานชำระล้างร่างกายที่ห้องน้ำ รับประทานของทานเล่น อินทผาลัมอย่างดีจากกรุงดูไบ ที่สถานกงสุลไทย ณ กรุงดูไบจัดส่งมาใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ นมสดและน้ำส้มคั้น ณ โถงตึกสันติไมตรี เวลา 18.05 เริ่มพิธีละหมาดมัฆริบ เมื่อนายกรัฐมนตรีและคุณหญิงเดินทางถึง อธิดีกรมพิธีการทูตได้แนะนำคณะทูตานุทูตต่อนายกรัฐมตรีที่ห้องสีฟ้า ต่อจากนั้นจึงเริ่มงานเลี้ยงรับรอง และงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ตึกสันติไมตรี หลังนอก ซึ่งผู้เข้าร่วมงานละศีลอดในวันนี้ได้รับผ้านุ่งของชาวมุสลิมและหมวกเป็นของที่ระลึก อนึ่ง รัฐบาลได้เริ่มจัดงานละศีลอด ให้แก่ตัวแทนเชื้อสายมุสลิม เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยมีชาวมุสลิมเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก สำหรับในปีนี้ ช่วงเวลาละศีลอดอยู่ระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 23 ตุลาคม 2549
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน สรุปสาระสำคัญว่า การนับถือศาสนาเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกคนในโลก การมีศาสนาเกิดขึ้นในโลกถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มวลมนุษยชาติมีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดร่วมอยู่ด้วยกันประการหนึ่ง คือการสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ศาสนาอิสลามเป็นหนึ่งในศาสนาสากลสำหรับมนุษยชาติ ปัจจุบันมีประชาชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกนับถือศาสนาอิสลามจำนวนมากกว่าหนึ่งพันล้านคน ซึ่งประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นอันดับสองรองจากศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลามได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
“คัมภีร์อัล-กุรอ่านอันศักดิ์สิทธิ์สอนว่าเดือนรอมฎอนคือช่วงเวลาแห่งการถือศีลอด และบำเพ็ญศาสนกิจต่าง ๆ ตามหลักปฏิบัติพื้นฐานของศาสนา อันรวมถึงการสวดมนต์ การใคร่ครวญ การอุทิศตนช่วยเหลือผู้ยากไร้ การกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและชุมชน การรักษาข้องดเว้นต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนการสำรวมกาย วาจา ใจ อยู่ตลอดเวลาเพื่อพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อชำระกายใจให้บริสุทธิ์ รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในสิทธิเสรีภาพของพี่น้องคนไทยที่จะเลือกนับถือศาสนา และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อถือศรัทธาของตน และได้สนับสนุนพี่น้องชาวมุสลิมในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อันจะนำไปสู่คุณธรรมนานาประการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต จิตใจ และนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมไทยอย่างยั่งยืนสืบไป ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมประทับใจในความยึดมั่นศรัทธาในศาสนาของชาวมุสลิม ที่นำมาสู่การปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ของทุกคนอย่างเข้มแข็ง มีความอดทนอดกลั้นตามคำสั่งสอนของศาสดา อันเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชนทั่วไป พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลยินดีที่จะให้การสนับสนุนและร่วมมือกับพี่น้องมุสลิมในทุกกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้
ทั้งนี้ ก่อนหน้างานเลี้ยงอาหารค่ำ งานละศีลอดได้เริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 17.30 น. โดยผู้เข้าร่วมงาน“ละศีลอด” รอมฎอน ปี ฮ.ศ. 1427 เดินทางถึงตึกสันติไมตรี พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต้อนรับคณะทูตานุทูต จากนั้นได้เริ่มการละศีลอดในเวลา 18.01 น. โดยผู้ร่วมงานชำระล้างร่างกายที่ห้องน้ำ รับประทานของทานเล่น อินทผาลัมอย่างดีจากกรุงดูไบ ที่สถานกงสุลไทย ณ กรุงดูไบจัดส่งมาใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ นมสดและน้ำส้มคั้น ณ โถงตึกสันติไมตรี เวลา 18.05 เริ่มพิธีละหมาดมัฆริบ เมื่อนายกรัฐมนตรีและคุณหญิงเดินทางถึง อธิดีกรมพิธีการทูตได้แนะนำคณะทูตานุทูตต่อนายกรัฐมตรีที่ห้องสีฟ้า ต่อจากนั้นจึงเริ่มงานเลี้ยงรับรอง และงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ตึกสันติไมตรี หลังนอก ซึ่งผู้เข้าร่วมงานละศีลอดในวันนี้ได้รับผ้านุ่งของชาวมุสลิมและหมวกเป็นของที่ระลึก อนึ่ง รัฐบาลได้เริ่มจัดงานละศีลอด ให้แก่ตัวแทนเชื้อสายมุสลิม เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยมีชาวมุสลิมเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก สำหรับในปีนี้ ช่วงเวลาละศีลอดอยู่ระหว่างวันที่ 24 กันยายน - 23 ตุลาคม 2549
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--