วันนี้ เวลา 08.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและคณะ ประกอบด้วย หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวีรพันธุ์ วัชราทิตย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายกฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางกัญจนา สปินเล่อร์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6เพื่อไปเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
ต่อมาเมื่อเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางถึงท่าอากาศยานโปเชนตงของกัมพูชา ซึ่งมีการจัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีสมเด็จฮุน เซน (Samdech Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชารอให้การต้อนรับ จากนั้นนำนายกรัฐมนตรีขึ้นแท่นรับความเคารพและตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ซึ่งมีผู้มีเกียรติฝ่ายกัมพูชามารอต้อนรับอย่างอบอุ่น ประกอบไปด้วย คณะรัฐมนตรีกัมพูชา คณะทูตานุทูต ข้าราชการระดับสูงและชุมชนชาวกัมพูชา
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อหารือเต็มคณะ ณ ห้องประชุมรัฐมนตรี ชั้น 2 ซึ่งผู้เข้าร่วมหารือฝ่ายกัมพูชาประกอบด้วย นายฮอร์ นัมฮอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ นายสก อัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา นายอุก ราบุน รัฐมนตรีช่วยว่าการเศรษฐกิจและการคลัง นายเขียว กัญญฤทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข่าวสารและโฆษกรัฐบาลกัมพูชา
ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการหารือสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ ภายหลังการต้อนรับอย่างอบอุ่นแล้ว สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวว่าการเดินทางมาเยือนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีไทยในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับกัมพูชา และหวังว่าการเยือนจะขยายความร่วมมือระหว่างกันของทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับกัมพูชาในฐานะที่มีพรมแดนติดกันและเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของไทย โดยนายกรัฐมนตรีแจ้งให้ทราบว่า ความผูกพันที่รัฐบาลไทยได้มีกับรัฐบาลกัมพูชาที่ผ่านมา ทั้งในกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคี และความร่วมมือภายใต้กรอบ ACMECS ประเทศไทยจะคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่รัฐบาลไทยจะเร่งดำเนินการมี 3 ประเด็น ได้แก่ การสร้างความปรองดองในชาติ ซึ่งรัฐบาลจะให้ความสำคัญมากที่สุด โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ต้องการให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และขณะนี้รัฐบาลได้จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภารัฐธรรมนูญ ให้เกิดขึ้นก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่หลักในการสร้างความปรองดองและความเข้าใจภายในชาติ และจะนำวิธีการที่สมเด็จฮุน เซน ได้ใช้มาตลอดคือการไปพบประชาชาชนด้วยตัวเอง
สำหรับประเด็นที่ 2 คือ การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในภาคใต้ ที่มีความยืดเยื้อและรุนแรง โดยนายกรัฐมนตรีเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างโอกาสทางการศึกษาและสร้างความเข้าใจแก่เยาวชนในภาคใต้ ประเด็นที่ 3 คือ การให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ร่วมกับประเทศ เพื่อนบ้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้เห็นว่า ประเทศที่มีอาณาเขตแดนติดกันมีส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาไข้หวัดนก หรือแม้แต่ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นเป็นปัญหาร่วมกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นความร่วมมือต่างๆ ระหว่างไทยกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยได้แสดงท่าทีที่ ชัดเจนว่า จะให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด อย่างไรก็ดีทางฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความวิตกกังวลต่อการให้ความช่วยเหลือด้านเส้นทางคมนาคมของไทย ได้แก่ การสร้างถนนหมายเลข 48 (เกาะกง-สแรอัมเบิล) ถนนหมายเลข 67 (สะงำ-อันลองเวง-เสียมราฐ) ถนนหมายเลข 68 (โอเสม็ด-สำโรง - กรอลัน)นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า จะให้ความช่วยเหลือตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยกำชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาและดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป และในขณะนี้ฝ่ายไทยจะให้การช่วยเหลือในการก่อสร้างและซ่อมแซมถนนหมายเลข 48 กับ 67 ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือถนนหมายเลข 68 ต่อไป
นอกจากนี้ ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับการปักหลักเขตแดน ซึ่งทางกัมพูชาได้หยิบยกขึ้นมาระหว่างการหารือ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า การตัดสินใจของรัฐบาลจะอยู่บนพื้นฐานของหลักฐาน จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศทั้งต่อประชาชนชาวไทยและกัมพูชาอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอให้มีการพบปะระหว่าง ไทย ลาวและกัมพูชา เพื่อร่วมกันพัฒนาในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมมรกตต่อไป
สำหรับการเปิดช่องทางที่บริเวณช่องตาเฒ่า เขาพระวิหาร นั้น ไทยพร้อมที่จะร่วมพัฒนาเขาพระวิหารกับกัมพูชา และยินดีที่กัมพูชายื่นขอจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องน้ำมันได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือกันว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันอย่างไรได้บ้าง เพราะกัมพูชาต้องนำเข้าน้ำมันเช่นกัน นอกจากนี้ไทยและกัมพูชาได้หยิบยกเรื่องที่เกาหลีเหนือทดลองอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาหารือกันว่าคงจะนำเรื่องนี้ไปหารือกันในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท เพื่อกำหนดท่าทีที่ชัดเจนของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง
ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังโรงแรม Intercontinental เพื่อร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ
ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปเยี่ยมชมสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ และเดินทางต่อไปยังอนุสาวรีย์วิมานเอกราช โดยนายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีวางพวงมาลา ซึ่งในพิธีดังกล่าวได้มีการจัดทหารกองเกียรติยศและวงดุริยางค์ประกอบพิธีด้วย จากนั้นเดินทางไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการพระแก้วมรกต
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อเยี่ยมคารวะสมเด็จเฮง สัมริน ประธานรัฐสภา โดยมีประธานคณะกรรมาธิการต่างๆ รวม 9 คณะ ร่วมในการพบปะด้วย ซึ่งการหารือเป็นไปด้วยความอบอุ่น โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ รู้สึกเป็นกันเอง และได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้นำระดับสูงของกัมพูชาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย รวมถึงภารกิจของรัฐบาลในการสร้างความปรองดองภายในชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาแก้ใขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้ความเป็นประชาธิปไตยกลับคืนโดยเร็วที่สุด รวมทั้งเพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากต่างชาติโดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านของเราเอง ซึ่งประธานรัฐสภากัมพูชาได้กล่าวแสดงความขอบคุณที่ไทยได้ให้ความสำคัญกับประเทศขนาดเล็กอย่างกัมพูชา และเชื่อมั่นว่า การเยือนครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลสำเร็จและมิตรภาพแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมกับแสดงความพอใจในความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ และเสนอให้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในอนาคต
จากนั้นเวลา 15.40 น. นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางต่อไปยังอาคารวุฒิสภา เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จเจีย ซิม ประธานวุฒิสภาและรักษาการประมุขรัฐ ซึ่งในการหารือดังกล่าวมีประธานคณะกรรมาธิการการของวุฒิสภาทั้ง 9 ชุด รวมอยู่ด้วย ซึ่งหลายท่านมีความคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อครั้งยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ทราบถึงปัญหาสำคัญๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประธานวุฒิสภากัมพูชาได้แสดงความเข้าใจเป็นอย่างดี และพร้อมจะให้การสนับสนุนแก่รัฐบาลไทย พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า การพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชนจะก้าวหน้าและแน่นแฟ้นต่อไป
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมายังท่าอากาศยานโปเชนตง (Phnom Penh International Airport) เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมในพิธีส่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ในเวลา 17.30 น.
นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงผลการเยือนกัมพูชา
ภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนถึงการเดินทางเยือนกัมพูชาว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ให้การต้อนรับอย่างดีและสมเกียรติ โดยได้พบกับนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ของกัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางเยือนต่างประเทศ ว่า เป็นการยืนยันถึงนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการเยือนกัมพูชาในครั้งนี้จะเร่งรัดเรื่องการปักหลักเขตแดนทั้งเขตแดนทางบกและทางทะเล และจะเน้นความโปร่งใสและผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศเป็นหลัก
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ต่อมาเมื่อเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางถึงท่าอากาศยานโปเชนตงของกัมพูชา ซึ่งมีการจัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีสมเด็จฮุน เซน (Samdech Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชารอให้การต้อนรับ จากนั้นนำนายกรัฐมนตรีขึ้นแท่นรับความเคารพและตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ซึ่งมีผู้มีเกียรติฝ่ายกัมพูชามารอต้อนรับอย่างอบอุ่น ประกอบไปด้วย คณะรัฐมนตรีกัมพูชา คณะทูตานุทูต ข้าราชการระดับสูงและชุมชนชาวกัมพูชา
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อหารือเต็มคณะ ณ ห้องประชุมรัฐมนตรี ชั้น 2 ซึ่งผู้เข้าร่วมหารือฝ่ายกัมพูชาประกอบด้วย นายฮอร์ นัมฮอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ นายสก อัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา นายอุก ราบุน รัฐมนตรีช่วยว่าการเศรษฐกิจและการคลัง นายเขียว กัญญฤทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข่าวสารและโฆษกรัฐบาลกัมพูชา
ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการหารือสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ ภายหลังการต้อนรับอย่างอบอุ่นแล้ว สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวว่าการเดินทางมาเยือนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีไทยในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับกัมพูชา และหวังว่าการเยือนจะขยายความร่วมมือระหว่างกันของทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับกัมพูชาในฐานะที่มีพรมแดนติดกันและเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของไทย โดยนายกรัฐมนตรีแจ้งให้ทราบว่า ความผูกพันที่รัฐบาลไทยได้มีกับรัฐบาลกัมพูชาที่ผ่านมา ทั้งในกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคี และความร่วมมือภายใต้กรอบ ACMECS ประเทศไทยจะคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่รัฐบาลไทยจะเร่งดำเนินการมี 3 ประเด็น ได้แก่ การสร้างความปรองดองในชาติ ซึ่งรัฐบาลจะให้ความสำคัญมากที่สุด โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ต้องการให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และขณะนี้รัฐบาลได้จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภารัฐธรรมนูญ ให้เกิดขึ้นก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่หลักในการสร้างความปรองดองและความเข้าใจภายในชาติ และจะนำวิธีการที่สมเด็จฮุน เซน ได้ใช้มาตลอดคือการไปพบประชาชาชนด้วยตัวเอง
สำหรับประเด็นที่ 2 คือ การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในภาคใต้ ที่มีความยืดเยื้อและรุนแรง โดยนายกรัฐมนตรีเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างโอกาสทางการศึกษาและสร้างความเข้าใจแก่เยาวชนในภาคใต้ ประเด็นที่ 3 คือ การให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ร่วมกับประเทศ เพื่อนบ้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้เห็นว่า ประเทศที่มีอาณาเขตแดนติดกันมีส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาไข้หวัดนก หรือแม้แต่ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นเป็นปัญหาร่วมกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นความร่วมมือต่างๆ ระหว่างไทยกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยได้แสดงท่าทีที่ ชัดเจนว่า จะให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด อย่างไรก็ดีทางฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความวิตกกังวลต่อการให้ความช่วยเหลือด้านเส้นทางคมนาคมของไทย ได้แก่ การสร้างถนนหมายเลข 48 (เกาะกง-สแรอัมเบิล) ถนนหมายเลข 67 (สะงำ-อันลองเวง-เสียมราฐ) ถนนหมายเลข 68 (โอเสม็ด-สำโรง - กรอลัน)นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า จะให้ความช่วยเหลือตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยกำชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาและดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป และในขณะนี้ฝ่ายไทยจะให้การช่วยเหลือในการก่อสร้างและซ่อมแซมถนนหมายเลข 48 กับ 67 ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือถนนหมายเลข 68 ต่อไป
นอกจากนี้ ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับการปักหลักเขตแดน ซึ่งทางกัมพูชาได้หยิบยกขึ้นมาระหว่างการหารือ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า การตัดสินใจของรัฐบาลจะอยู่บนพื้นฐานของหลักฐาน จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศทั้งต่อประชาชนชาวไทยและกัมพูชาอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอให้มีการพบปะระหว่าง ไทย ลาวและกัมพูชา เพื่อร่วมกันพัฒนาในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมมรกตต่อไป
สำหรับการเปิดช่องทางที่บริเวณช่องตาเฒ่า เขาพระวิหาร นั้น ไทยพร้อมที่จะร่วมพัฒนาเขาพระวิหารกับกัมพูชา และยินดีที่กัมพูชายื่นขอจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องน้ำมันได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือกันว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันอย่างไรได้บ้าง เพราะกัมพูชาต้องนำเข้าน้ำมันเช่นกัน นอกจากนี้ไทยและกัมพูชาได้หยิบยกเรื่องที่เกาหลีเหนือทดลองอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาหารือกันว่าคงจะนำเรื่องนี้ไปหารือกันในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท เพื่อกำหนดท่าทีที่ชัดเจนของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง
ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังโรงแรม Intercontinental เพื่อร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ
ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปเยี่ยมชมสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ และเดินทางต่อไปยังอนุสาวรีย์วิมานเอกราช โดยนายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีวางพวงมาลา ซึ่งในพิธีดังกล่าวได้มีการจัดทหารกองเกียรติยศและวงดุริยางค์ประกอบพิธีด้วย จากนั้นเดินทางไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการพระแก้วมรกต
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อเยี่ยมคารวะสมเด็จเฮง สัมริน ประธานรัฐสภา โดยมีประธานคณะกรรมาธิการต่างๆ รวม 9 คณะ ร่วมในการพบปะด้วย ซึ่งการหารือเป็นไปด้วยความอบอุ่น โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ รู้สึกเป็นกันเอง และได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้นำระดับสูงของกัมพูชาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย รวมถึงภารกิจของรัฐบาลในการสร้างความปรองดองภายในชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาแก้ใขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้ความเป็นประชาธิปไตยกลับคืนโดยเร็วที่สุด รวมทั้งเพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากต่างชาติโดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านของเราเอง ซึ่งประธานรัฐสภากัมพูชาได้กล่าวแสดงความขอบคุณที่ไทยได้ให้ความสำคัญกับประเทศขนาดเล็กอย่างกัมพูชา และเชื่อมั่นว่า การเยือนครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลสำเร็จและมิตรภาพแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมกับแสดงความพอใจในความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ และเสนอให้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในอนาคต
จากนั้นเวลา 15.40 น. นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางต่อไปยังอาคารวุฒิสภา เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จเจีย ซิม ประธานวุฒิสภาและรักษาการประมุขรัฐ ซึ่งในการหารือดังกล่าวมีประธานคณะกรรมาธิการการของวุฒิสภาทั้ง 9 ชุด รวมอยู่ด้วย ซึ่งหลายท่านมีความคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อครั้งยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ทราบถึงปัญหาสำคัญๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประธานวุฒิสภากัมพูชาได้แสดงความเข้าใจเป็นอย่างดี และพร้อมจะให้การสนับสนุนแก่รัฐบาลไทย พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า การพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชนจะก้าวหน้าและแน่นแฟ้นต่อไป
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมายังท่าอากาศยานโปเชนตง (Phnom Penh International Airport) เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมในพิธีส่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ในเวลา 17.30 น.
นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงผลการเยือนกัมพูชา
ภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนถึงการเดินทางเยือนกัมพูชาว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ให้การต้อนรับอย่างดีและสมเกียรติ โดยได้พบกับนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ของกัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางเยือนต่างประเทศ ว่า เป็นการยืนยันถึงนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการเยือนกัมพูชาในครั้งนี้จะเร่งรัดเรื่องการปักหลักเขตแดนทั้งเขตแดนทางบกและทางทะเล และจะเน้นความโปร่งใสและผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศเป็นหลัก
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--