วันนี้ เวลา 09.30 น. คณะทูตานุทูตประเทศสมาชิกอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก คณะทูตานุทูต ประกอบไปด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม
ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการหารือ สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับ และขอบคุณคณะทูตานุทูตประเทศสมาชิกอาเซียน ที่มาเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ พร้อมกับถือโอกาสนี้ ชี้แจง ทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยย้ำว่า ไม่เคยคาดคิดว่าจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่มีความจำเป็นเพื่อความสงบของบ้านเมือง พร้อมกับให้คำมั่นว่า จะบริหารประเทศตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และขอให้เชื่อมั่นต่อผู้ดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีที่ได้คัดเลือกด้วยตนเองว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์และมีความสามารถ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่างนโยบายของรัฐบาลและน่าจะพร้อมที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ ให้ความสำคัญ มี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ หนึ่ง ปัญหาการเมืองและการปฏิรูปการเมืองในประเทศ สอง คือ การแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางปฏิบัติกับคณะรัฐมนตรีในการประชุมที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลชุดนี้จะบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดกับหลักการ 4 ประการ คือ 1. ความโปร่งใส Transparency 2. ความเป็นธรรม Justice 3. การประหยัด Economy of Resources 4. ความมีประสิทธิภาพ Efficiency
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี คาดหวังว่า จะเดินทางเยือนเพื่อพบปะกับผู้นำในประเทศในอาเซียน เพื่อย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาร่วมไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้ คณะทูตานุทูตซักถามและแสดงความคิดเห็น โดยเอกอัครราชทูตของประเทศในกลุ่มอาเซียนได้แสดงความคิดเห็น ดังต่อไปนี้
กัมพูชา แสดงความยินดีและความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อไป และในนามของรัฐบาลกัมพูชา ขอถือโอกาสนี้ ต้อนรับการเดินทางเยือนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีไทยในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
ลาว กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้พิสูจน์ เป็นที่ชัดเจนแล้ว ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในประเทศ และสถานการณ์ในประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อยดี ในฐานะตัวแทนจากประชาชนลาว ขอแสดงความยินดีและเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จตามที่ได้คาดหวังไว้
อินโดนีเซีย กล่าวขอบคุณที่ไทยให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศอาเซียน และเชื่อมั่นว่า ไทยจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างลุล่วง
มาเลเซีย ยินดีมากและพร้อมที่จะร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาภูมิภาคนี้ต่อไป และมาเลเซียมีความยินดี หากนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนในโอกาสต่อไป
บรูไน ได้แจ้งว่า สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ถือโอกาสนี้แสดงความยินดีแก่นายกรัฐมนตรีและแสดงความเชื่อมั่นต่อการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะประสบผลสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้
สิงคโปร์ แสดงความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยต่อไปตามปกติ
เวียดนาม กล่าวอวยพรให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เวียดนามเชื่อมั่นต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี และเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ของไทย-เวียดนาม และไทย-อาเซียนจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จร่วมกัน และรอคอยการเดินทางไปเยือนเวียดนามของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย
ฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ฟิลิปปินส์มีความดีใจที่เห็นไทยมีการปฏิรูปประชาธิปไตยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และดีใจที่การบริหารประเทศของไทยจะยึดมั่นต่อหลัก 4 ประการ และเชื่อมั่นว่า ไทยและอาเซียนจะสามารถฟันฝ่าต่ออุปสรรคและปัญหาร่วมกันเพื่อให้เกิดการพัฒนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อไป และแสดงความขอบคุณที่ไทยได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นกลุ่มแรก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความขอบคุณสำหรับความเข้าใจในฐานะมิตรประเทศ และเชื่อมั่นว่า เราต่างมี ASEAN Spirit ซึ่งช่วยสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นจุดเด่นที่สามารถทำให้ภูมิภาคพัฒนาต่อไปอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันที่จะให้ความสนับสนุน ความร่วมมือภายใต้กรอบACMECS ต่อไป และเชื่อมั่นต่อแนวคิดที่ว่า ประเทศไทยจะไม่สามารถพัฒนาอย่างโดดเด่นได้เพียงประเทศเดียว ประเทศกลุ่มอาเซียนต้องรวมกันเพื่อพัฒนาจึง จะประสบความสำเร็จ
ต่อมา เวลา 10.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก เอกอัครราชทูตและผู้แทนจาก ทวีปเอเชีย-แอฟริกา รวม 23 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มองโกเลีย บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา เนปาล คาซัคสถาน โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน อิสราเอล โมร็อกโก ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ อียิปต์ โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณแก่เอกอัครราชทูตและผู้แทนต่างประเทศ ที่ได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมหารือและพูดคุยกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โดยสัปดาห์แรกต้องเร่งทาบทามคณะรัฐมนตรีแต่ละท่านด้วยตนเอง ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรก นอกจากนี้ ยังได้บอกแก่สมาชิกคณะรัฐมนตรีทุกท่านให้ทราบแนวปฏิบัติในการบริหารประเทศว่า ให้ยืนอยู่บนพื้นฐาน 4 ประการ คือ ความโปร่งใส ความเป็นธรรม การประหยัด ความมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ งานด่วนที่รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ การแก้ไขปัญหาการเมือง เพื่อสมานฉันท์ ความแตกแยกที่เกิดจากความแตกต่างทางความคิด เพื่อสังคมมีสันติ ภาระสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยแนวทางสันติ เพราะจากการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่และทุกภาคส่วนของสังคม ทราบว่า ทุกส่วนต้องการสันติและอนาคตที่สุขสงบ การศึกษาระดับสูงเพื่อเยาวชน
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงนโยบายต่างประเทศว่า รัฐบาลยืนยันที่จะดำเนินตามข้อผูกพันที่รัฐบาลเดิมได้ทำไว้ พร้อมทั้งจะเร่งสานต่อ และกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศ และนโยบายด้านเศรษฐกิจนั้น จะยังคงอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจการตลาด แต่ขณะเดียวกันก็จะสร้างความสมดุลทั้งด้านการลงทุนและการดำเนินนโยบายและโครงการต่างๆ โดยจะต้องมีความโปร่งใส
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตโมร็อกโกประจำประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ได้เชิญมาร่วมประชุมและรับฟังนโยบายในวันนี้ ซึ่งได้สอบถามถึงการลงทุนใน mega project ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า ยังคงมีการดำเนินโครงการ mega project ต่อ โดยเฉพาะระบบการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ การพัฒนาระบบรถไฟฟ้า ซึ่งเห็นว่า เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาการจราจร และการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวมทั้งในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล
เอกอัครราชทูตอิหร่าน และซาอุดิอาระเบีย ต่างแสดงความชื่นชมที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือต่างๆ กับรัฐบาล
ส่วนการยกเลิกกฎอัยการศึกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่สามารถตัดสินใจโดยลำพัง หากจะต้องมีการหารือและพูดคุยกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสนี้ ที่จะได้มีการพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศ และในวันพรุ่งนี้ จะได้ลงพื้นที่ โดยเดินทางไปในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และจะเป็นการไปพบปะพูดคุยกับประชาชนต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก โดยจะให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลจะยังคงให้การสนับสนุนประชาชนในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการประกันสุขภาพ เป็นต้น
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการหารือ สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับ และขอบคุณคณะทูตานุทูตประเทศสมาชิกอาเซียน ที่มาเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ พร้อมกับถือโอกาสนี้ ชี้แจง ทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยย้ำว่า ไม่เคยคาดคิดว่าจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่มีความจำเป็นเพื่อความสงบของบ้านเมือง พร้อมกับให้คำมั่นว่า จะบริหารประเทศตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และขอให้เชื่อมั่นต่อผู้ดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีที่ได้คัดเลือกด้วยตนเองว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์และมีความสามารถ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่างนโยบายของรัฐบาลและน่าจะพร้อมที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ ให้ความสำคัญ มี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ หนึ่ง ปัญหาการเมืองและการปฏิรูปการเมืองในประเทศ สอง คือ การแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางปฏิบัติกับคณะรัฐมนตรีในการประชุมที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลชุดนี้จะบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดกับหลักการ 4 ประการ คือ 1. ความโปร่งใส Transparency 2. ความเป็นธรรม Justice 3. การประหยัด Economy of Resources 4. ความมีประสิทธิภาพ Efficiency
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี คาดหวังว่า จะเดินทางเยือนเพื่อพบปะกับผู้นำในประเทศในอาเซียน เพื่อย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาร่วมไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้ คณะทูตานุทูตซักถามและแสดงความคิดเห็น โดยเอกอัครราชทูตของประเทศในกลุ่มอาเซียนได้แสดงความคิดเห็น ดังต่อไปนี้
กัมพูชา แสดงความยินดีและความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อไป และในนามของรัฐบาลกัมพูชา ขอถือโอกาสนี้ ต้อนรับการเดินทางเยือนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีไทยในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
ลาว กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้พิสูจน์ เป็นที่ชัดเจนแล้ว ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในประเทศ และสถานการณ์ในประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อยดี ในฐานะตัวแทนจากประชาชนลาว ขอแสดงความยินดีและเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จตามที่ได้คาดหวังไว้
อินโดนีเซีย กล่าวขอบคุณที่ไทยให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศอาเซียน และเชื่อมั่นว่า ไทยจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างลุล่วง
มาเลเซีย ยินดีมากและพร้อมที่จะร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาภูมิภาคนี้ต่อไป และมาเลเซียมีความยินดี หากนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนในโอกาสต่อไป
บรูไน ได้แจ้งว่า สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ถือโอกาสนี้แสดงความยินดีแก่นายกรัฐมนตรีและแสดงความเชื่อมั่นต่อการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะประสบผลสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้
สิงคโปร์ แสดงความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยต่อไปตามปกติ
เวียดนาม กล่าวอวยพรให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เวียดนามเชื่อมั่นต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี และเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ของไทย-เวียดนาม และไทย-อาเซียนจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จร่วมกัน และรอคอยการเดินทางไปเยือนเวียดนามของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย
ฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ฟิลิปปินส์มีความดีใจที่เห็นไทยมีการปฏิรูปประชาธิปไตยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และดีใจที่การบริหารประเทศของไทยจะยึดมั่นต่อหลัก 4 ประการ และเชื่อมั่นว่า ไทยและอาเซียนจะสามารถฟันฝ่าต่ออุปสรรคและปัญหาร่วมกันเพื่อให้เกิดการพัฒนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อไป และแสดงความขอบคุณที่ไทยได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นกลุ่มแรก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความขอบคุณสำหรับความเข้าใจในฐานะมิตรประเทศ และเชื่อมั่นว่า เราต่างมี ASEAN Spirit ซึ่งช่วยสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นจุดเด่นที่สามารถทำให้ภูมิภาคพัฒนาต่อไปอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันที่จะให้ความสนับสนุน ความร่วมมือภายใต้กรอบACMECS ต่อไป และเชื่อมั่นต่อแนวคิดที่ว่า ประเทศไทยจะไม่สามารถพัฒนาอย่างโดดเด่นได้เพียงประเทศเดียว ประเทศกลุ่มอาเซียนต้องรวมกันเพื่อพัฒนาจึง จะประสบความสำเร็จ
ต่อมา เวลา 10.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก เอกอัครราชทูตและผู้แทนจาก ทวีปเอเชีย-แอฟริกา รวม 23 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ มองโกเลีย บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา เนปาล คาซัคสถาน โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน อิสราเอล โมร็อกโก ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ อียิปต์ โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณแก่เอกอัครราชทูตและผู้แทนต่างประเทศ ที่ได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมหารือและพูดคุยกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โดยสัปดาห์แรกต้องเร่งทาบทามคณะรัฐมนตรีแต่ละท่านด้วยตนเอง ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรก นอกจากนี้ ยังได้บอกแก่สมาชิกคณะรัฐมนตรีทุกท่านให้ทราบแนวปฏิบัติในการบริหารประเทศว่า ให้ยืนอยู่บนพื้นฐาน 4 ประการ คือ ความโปร่งใส ความเป็นธรรม การประหยัด ความมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ งานด่วนที่รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ การแก้ไขปัญหาการเมือง เพื่อสมานฉันท์ ความแตกแยกที่เกิดจากความแตกต่างทางความคิด เพื่อสังคมมีสันติ ภาระสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยแนวทางสันติ เพราะจากการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่และทุกภาคส่วนของสังคม ทราบว่า ทุกส่วนต้องการสันติและอนาคตที่สุขสงบ การศึกษาระดับสูงเพื่อเยาวชน
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงนโยบายต่างประเทศว่า รัฐบาลยืนยันที่จะดำเนินตามข้อผูกพันที่รัฐบาลเดิมได้ทำไว้ พร้อมทั้งจะเร่งสานต่อ และกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศ และนโยบายด้านเศรษฐกิจนั้น จะยังคงอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจการตลาด แต่ขณะเดียวกันก็จะสร้างความสมดุลทั้งด้านการลงทุนและการดำเนินนโยบายและโครงการต่างๆ โดยจะต้องมีความโปร่งใส
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตโมร็อกโกประจำประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ได้เชิญมาร่วมประชุมและรับฟังนโยบายในวันนี้ ซึ่งได้สอบถามถึงการลงทุนใน mega project ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า ยังคงมีการดำเนินโครงการ mega project ต่อ โดยเฉพาะระบบการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ การพัฒนาระบบรถไฟฟ้า ซึ่งเห็นว่า เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาการจราจร และการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวมทั้งในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล
เอกอัครราชทูตอิหร่าน และซาอุดิอาระเบีย ต่างแสดงความชื่นชมที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือต่างๆ กับรัฐบาล
ส่วนการยกเลิกกฎอัยการศึกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่สามารถตัดสินใจโดยลำพัง หากจะต้องมีการหารือและพูดคุยกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสนี้ ที่จะได้มีการพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศ และในวันพรุ่งนี้ จะได้ลงพื้นที่ โดยเดินทางไปในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และจะเป็นการไปพบปะพูดคุยกับประชาชนต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก โดยจะให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลจะยังคงให้การสนับสนุนประชาชนในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการประกันสุขภาพ เป็นต้น
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--