เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ขึ้นเครื่องบินเจ็ตสตรีมเดินทางไปยังจังหวัดสกลนครและบุรีรัมย์ โดยมีพลโท สุเจตน์ วัฒนสุข แม่ทัพภาคที่ 2 ให้การต้อนรับและร่วมคณะเดินทาง เพื่อไปตรวจราชการและพบปะกับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนเหนือและตอนใต้
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่า จะไปพบปะกับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้างมานานแล้วเกี่ยวข้องกับนโยบายที่ 66/2523 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเคยทำงานในพื้นที่และทราบว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับสิ่งที่ราชการเคยสัญญาไว้ว่าจะให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องยังตกค้างมาตลอด ก็จะไปฟังและหาทางแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมานานให้ลุล่วง ซึ่งราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนคงมีจำนวนไม่มาก แต่เป็นบุคคลที่พูดง่าย ๆ ว่าภาครัฐเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยเหลือ โดยให้เข้ามาร่วมมือพัฒนาบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพูดแล้ว แต่ไม่ได้ทำ ก็คิดว่าการไปแก้ไขเรื่องที่ตกค้างหมักหมมมานานก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยแก้ปัญหา
ต่อข้อถามว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้จะถือโอกาสทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าประชาชนเข้าใจ แต่เราแสดงให้เห็นว่ามีความจริงใจต้องการรับฟังปัญหาแล้วจะคลี่คลายปัญหาให้ได้ในช่วงที่ทำงานอยู่ในขณะนี้
ต่อมาเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึงสนามบินค่ายกฤษณ์สีวะรา จังหวัดสกลนคร จากนั้นได้พบปะหารือกับแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จาก 4 จังหวัด คือ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดเข้าร่วมด้วย ซึ่งกลุ่มแกนนำได้ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เรื่องปัญหาป่าไม้ และปัญหาผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้โดยเร็ว ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้เข้าร่วมพบปะทั้งหมด
จากนั้นในตอนบ่ายนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพบปะกับแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จาก 7 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุรินทร์ สระแก้ว นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร และฉะเชิงเทรา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 จังหวัด เข้าร่วมด้วย โดยกลุ่มแกนนำได้ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือในเรื่องของที่ดินทำกิน แหล่งน้ำ เครื่องมือทางการเกษตร เรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหาคอร์รัปชั่นรวมไปถึงการปฏิรูปการเมือง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยว่า ในการแก้ไขปัญหาจะยึดแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขและพัฒนาต่อไป และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางว่า จะไปพบปะกับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ค้างมานานแล้วเกี่ยวข้องกับนโยบายที่ 66/2523 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเคยทำงานในพื้นที่และทราบว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับสิ่งที่ราชการเคยสัญญาไว้ว่าจะให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องยังตกค้างมาตลอด ก็จะไปฟังและหาทางแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมานานให้ลุล่วง ซึ่งราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนคงมีจำนวนไม่มาก แต่เป็นบุคคลที่พูดง่าย ๆ ว่าภาครัฐเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยเหลือ โดยให้เข้ามาร่วมมือพัฒนาบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพูดแล้ว แต่ไม่ได้ทำ ก็คิดว่าการไปแก้ไขเรื่องที่ตกค้างหมักหมมมานานก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยแก้ปัญหา
ต่อข้อถามว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้จะถือโอกาสทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าประชาชนเข้าใจ แต่เราแสดงให้เห็นว่ามีความจริงใจต้องการรับฟังปัญหาแล้วจะคลี่คลายปัญหาให้ได้ในช่วงที่ทำงานอยู่ในขณะนี้
ต่อมาเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึงสนามบินค่ายกฤษณ์สีวะรา จังหวัดสกลนคร จากนั้นได้พบปะหารือกับแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จาก 4 จังหวัด คือ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดเข้าร่วมด้วย ซึ่งกลุ่มแกนนำได้ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน เรื่องปัญหาป่าไม้ และปัญหาผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้โดยเร็ว ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้เข้าร่วมพบปะทั้งหมด
จากนั้นในตอนบ่ายนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพบปะกับแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จาก 7 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุรินทร์ สระแก้ว นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร และฉะเชิงเทรา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 จังหวัด เข้าร่วมด้วย โดยกลุ่มแกนนำได้ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือในเรื่องของที่ดินทำกิน แหล่งน้ำ เครื่องมือทางการเกษตร เรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหาคอร์รัปชั่นรวมไปถึงการปฏิรูปการเมือง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับแกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยว่า ในการแก้ไขปัญหาจะยึดแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขและพัฒนาต่อไป และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--