วันนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปราศรัยกับประชาชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ทั่วประเทศ ตลอดจนสถานีวิทยุในสังกัดกองทัพบก ภายใต้หัวข้อ “ทางเลือกและการเอาชนะปัญหาของชาติวันนี้” ดังนี้
พี่น้องร่วมชาติที่รักยิ่ง
ท่านทั้งหลายที่กำลังรับชมหรือรับฟังผมพูดคุยกับท่านในค่ำวันนี้ เท่ากับว่าท่านกำลังมีส่วนร่วมรับรู้สถานภาพทางการเมืองของชาติแล้ว การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองเช่นนี้ ถือว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของเราทุกคน ในฐานะพลเมืองไทย
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ ตอบได้ว่า เพราะเราแต่ละคนก็มีความคิดความเห็นว่าเราต้องการมีชีวิตทางสังคมแบบไหนทั้งสำหรับตัวเราเอง ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของเรา ชุมชน และสำหรับชาติบ้านเมือง ที่สำคัญ ความปรารถนาเช่นนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของวันนี้เท่านั้น แต่ยังต้องคิดไปไกลเผื่อรุ่นลูกหลานของเราในวันข้างหน้าอีกด้วย
เราแต่ละคนมีเสียงหนึ่งเสียงเท่าเทียมกันไว้ใช้ลงคะแนนเลือกตั้งตัวแทนของเรา ไม่ว่าจะในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค หรือระดับชาติ การมีเสียงเสมอกันเช่นนี้ เป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่เราทุกคนต่อสู้สร้างร่วมกันมา ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายก็มีเสียงหนึ่งเสียงในการลงคะแนน และมีความรับผิดชอบต้องใช้เสียงลงคะแนนนี้ ซึ่งจะประกอบกันเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ที่จะตัดสินในที่สุดว่าชาติบ้านเมืองของเราจะไปทางไหน
แต่นอกจากการที่เราแต่ละคนมีความรับผิดชอบที่จะต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง ตัดสินใจใคร่ครวญอย่างดีที่สุดเพื่อเลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะมาแทนตัวเราในการปกครองบ้านเมือง เช่นที่เราคาดหวังไว้แล้ว แต่ถ้าจะให้ประชาธิปไตยจะได้ผลจริงอย่างที่หวัง ยังมีเงื่อนไขอย่างที่สองที่ต้องปฏิบัติ คือ เราต้องตกลงยินยอมยึดมั่นในหลักนิติธรรม
หลักนิติธรรมหมายความว่า เราทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย มีฐานะเช่นไรล้วนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ความยุติธรรมจะต้องมีให้กับพลเมืองไทยทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน ไม่ว่าจะรวยจะจนอย่างไร กฎหมายต้องพิทักษ์คุ้มครองคนดี ลงโทษคนทำผิดอย่างเท่าเทียมกัน ในประเทศนี้ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหายิ่งใหญ่ที่สำคัญและท้าทายที่สุดซึ่งสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ ถ้าเราซื่อตรงต่อตนเอง ก็คงต้องยอมรับว่า มองไม่ค่อยเห็นการทำงานตามหลักนิติธรรมในสังคมของเราวันนี้ ถ้าไม่มีหลักนิติธรรม ระบอบประชาธิปไตยที่เราทั้งหลายอยากเห็นเกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างมั่นคง ก็จะไม่อาจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้เลย ถ้าปราศจากความเป็นธรรม ก็จะไม่มีความเสมอภาค และประชาธิปไตยก็จะไม่ก่อกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอน
บางคนอาจเห็นว่าเมื่อห้าปีก่อน ประชาธิปไตยก็ดำเนินไปได้ด้วยดีในยุครัฐบาลที่ผ่านมา เพราะพลเมืองไทยก็มาลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปกันมาก และพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากก็ตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศฟังดูก็ดีเหมือนประชาธิป ไตยจริง ๆ ไม่ใช่หรือครับ
แต่ถ้าในเวลาที่มีรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมาเช่นนั้น หลักนิติธรรมเสื่อมลง ถูกทำลายด้วยพลังของผู้ทรงอำนาจ ผู้ร่ำรวย และพรรคพวกของเขา การฉ้อราษฎร์บังหลวงระบาดไปทั่ว แม้แต่องค์กรอิสระที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วย“รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540” ก็อ่อนแอลงและหมดกำลังจะต้านมหาภัยที่มาจากคลื่นของความโลภเช่นนี้ได้
แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีเองก็ยอมรับในเรื่องนี้ เช่นเมื่อครั้งที่ให้สัมภาษณ์นิตยสาร Time เมื่อสองสามเดือนก่อน โดยกล่าวว่า “การฉ้อราษฎร์บังหลวงในประเทศไทยจะไม่มีวันหายไปได้ มันฝังอยู่ในระบบเสียแล้ว” คำกล่าวเช่นนี้ค้านกับคำพูดของท่านเอง ที่ท่านเคยสัญญากับประชาชนว่าจะทำสงครามต่อสู้เอาชนะการฉ้อราษฎร์บังหลวงให้ได้ ผมอยากจะถามว่า เราจะให้บุคคลที่คิดไม่ดีมายักยอกทรัพย์ของแผ่นดินไปทุกวัน ๆ เช่นนั้นหรือครับ
ผมเองไม่คิดเช่นนั้น ผมเชื่อว่าเราทุกคนเข้าใจดีว่า เราต้องการชีวิตที่ดีกว่าเดิมสำหรับพลเมืองของชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่ง ถ้าเช่นนั้น เราก็ต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวงนี้ให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้แนวทางนิติธรรมเป็นหนทางหลัก มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยจำเริญงอกงามและยังให้เกิดคุณประโยชน์จากการช่วยให้ผู้คนพลเมือง มีโอกาสเสมอหน้ากัน
นี่คือหนทางที่ผมเลือก ทั้งให้กับตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ และสำหรับรัฐบาลของผมในช่วงเวลาประมาณหนึ่งปีที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่น่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรมในสิ้นปีนี้ หนทางนั้นคือ การต่อสู้เอาชนะภัยฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกรูปแบบ และทำให้แนวทางนิติธรรมเข้มแข็งมั่นคงในแผ่นดินนี้ให้จงได้
พวกเราทุกคนทราบดีว่า หนทางนี้ยากเข็ญเพียงไร เพราะต้องข้ามให้พ้นผลประโยชน์ที่หยั่งรากฝังลึกอยู่ทั่วไป พวกเราทุกคนตระหนักดีว่า สุดท้ายพี่น้องประชาชนทั้งหลายเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะยอมถูกสูบเลือดจนหมดตัว เพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือ จะตัดสินใจประกาศให้เห็นชัดว่า “พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว” พวกเราก็ยอมรับความเป็นจริงพอที่จะตระหนักว่าทำอะไรได้เพียงไรในระยะเวลาที่เหลืออยู่ เจ็ดเดือนผ่านไปตั้งแต่เมื่อผมแรกนำเสนอนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เราเหลือเวลาเป็นรัฐบาลอีกเพียง 6 เดือนเท่านั้น เราได้เริ่มต้นทำงานอย่าง มั่นคง แต่การจะต่อสู้สืบไปนั้นขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย ที่จะต้องเลือกคนที่ดีที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า คัดเอาคนที่แน่วแน่มั่นคงว่าจะนำพาประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคนกลับสู่หนทางแห่งหลักนิติธรรม
ผมกำหนดแผนยุทธศาสตร์ 4 แนวทางไว้สำหรับการทำงานนี้
เมื่อแรกได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชั่วคราวของท่าน ได้เสนอหลักการ 4 ข้อ เป็นแนวทางการทำงานของรัฐบาลนี้ คือ เราจะทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และใช้ทรัพยากรทุกอย่างอย่างประหยัด ทั้งหมดนี้เป็นมาตรฐานที่เราใช้ประเมินการตัดสินใจและการกระทำทุกอย่างของเรา กล่าวอีกอย่างหนึ่ง แม้เราจะชราและช้าไปบ้าง แต่เราก็ถือเอาประโยชน์สาธารณะและความซื่อตรงเป็นหลักเหนืออื่นใด
ยุทธศาสตร์อย่างที่สองคือ การป้องปราม ถ้าคนที่ทำผิดคิดมิชอบใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลไม่ได้รับโทษอะไรเลย คนก็จะไม่หยุดทำชั่วกัน เราจำต้องตระหนักว่าการละเมิดกฎหมายนั้นมีผลให้ต้องรับโทษ ถึงวันนี้ก็มีคนถูกกล่าวหาแล้วในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงใหญ่ไม่น้อยกว่า 13 คดี แต่ละคดีกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นตามกระบวนการทางกฎหมาย งานเช่นนี้ต้องใช้เวลา แต่ผมก็ไม่ยอมใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปทำให้การตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมต้องเสียหายขาดตอน เพราะผมเชื่อว่าคนในชาติต้องเห็นว่า กระบวนการตรวจสอบเอาคนผิดมารับโทษดำเนินไปได้ ทุกคนต้องเชื่อว่ากฎหมายบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์
ถึงวันนี้อย่างน้อยมีกรณีการหลีกเลี่ยงภาษีการโอนขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนส่งฟ้องเป็นคดีอาญา
คดีที่สองเป็นกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบในการจัดซื้อที่ดินถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย คดีนี้ก็กำลังเข้าสู่การฟ้องเป็นคดีอาญาเช่นกัน
คดีที่สามเกี่ยวกับกรณีการทุจริตในโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX 9000 และกรณีการทุจริตโครงการจัดจ้างก่อสร้างระบบไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (แอร์พอร์ต ลิงค์) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินกำลังดำเนินการฟ้องร้องอยู่
ผมคาดว่ากรณีต่าง ๆ ที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในเวลานี้จะดำเนินไปสู่ขั้นตอนฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม แต่ผมขอย้ำว่าเราจะยึดถือความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด เราถือว่าผู้ต้องหาทั้งหมดยังไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน
พี่น้องประชาชนที่รัก ผมต้องเรียนท่านทั้งหลายตรง ๆ ว่า การต้องมาดูแลให้เกิดกระบวนการเช่นนี้เป็นเรื่องที่หนักใจสำหรับผม และผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายก็รู้สึกเช่นเดียวกันที่ต้องมารับรู้เรื่องนี้ เพราะพี่น้องจำนวนมากเคยไว้วางใจและตั้งความหวังไว้ในตัวผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้วที่ท่านเลือกเข้ามารับตำแหน่งบริหารราชการแผ่นดิน ศาลยุติธรรมเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสินในที่สุดว่า คนที่ท่านเลือกเข้าไปนั้นได้แสวงประโยชน์ส่วนตนหรือไม่อย่างไร
บทเรียนนี้เจ็บปวดและเป็นราคาสูงยิ่งสำหรับเราทุกคน แต่เป็นบทเรียนที่ผมเชื่อว่าเราต้องเรียนรู้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีหวังใด ๆ ในการสร้างหลักนิติธรรมให้ศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของเรา
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ของผมที่วางไว้ต่อสู้เอาชนะการฉ้อราษฎร์บังหลวงคือ ใช้การตรวจสอบเปลี่ยนแปลงกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยมุ่งปิดช่องว่างทางกฎหมายทุกจุดและออกกฎหมายใหม่ ๆ ในเรื่องนี้ถ้าจำเป็นกระบวนการนี้กำลังดำเนินอยู่
อย่างที่ท่านทั้งหลายคงคิดได้ว่า ความพยายามใด ๆ ที่จะริเริ่มปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของไทยให้เกิดผล ให้ชัดเจนว่าพวกเราทุกคนจะได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ก็ต้องปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย
เรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์ที่ 4 ในแผนการทำงานของผมในการปฏิรูปบ้านเมืองให้มีความเป็นธรรม ให้เป็นแผ่นดินที่ลูกหลานจะรับเป็นมรดกสืบไปด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ผมได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกิจการตำรวจขึ้น โดยได้เชิญนายตำรวจที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ ท่าน เข้ามาเป็นกรรมการ
คณะกรรมการดังกล่าวได้วางแผนการปฏิรูประบบตำรวจไทยที่ถือว่ากว้างไกลก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยพยายามกันมา แผนปฏิรูปนี้รวมถึงการกระจายอำนาจบริหารราชการตำรวจ การตั้งคณะกรรมการอิสระมาตรวจสอบกิจการตำรวจ แก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกิจการตำรวจ ส่งเสริมพัฒนาทักษะและสวัสดิการของตำรวจโดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้น้อยทั่วประเทศ
ผมขอพูดกับเพื่อนตำรวจไทยทั้งประเทศว่า อย่าได้กังวลกับการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้น ยอมรับการปฏิรูปนี้ รัฐบาลกำลังตั้งอกตั้งใจทำงานเพื่อขจัดภัยการฉ้อราษฎร์บังหลวงและสร้างสรรค์สังคมที่ปกครองด้วยหลักนิติธรรม อันจะให้ความยุติธรรมกับทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน งานนี้จะทำให้สำเร็จไปไม่ได้หากประเทศชาติไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซื่อสัตย์ มีประสิทธิภาพ และเอาจริงเอาจังกับหน้าที่ของตน เวลานี้เป็นจังหวะที่ท่านทั้งหลายต้องก้าวออกมาเพื่อปกป้องพิทักษ์ราษฎรหญิงชาย อันเป็นงานในหน้าที่โดยตรงของท่าน
พี่น้องประชาชนทั้งหลาย ผมได้พูดมาพอประมาณถึงภัยร้ายที่คุกคามท้าทายประเทศชาติของเราในปัจจุบัน การท้าทายซึ่งผมคิดว่าสำคัญที่สุด เป็นการท้าทายที่พลเมืองไทยทุกคนจะต้องตัดสินใจเลือกอย่างรอบคอบมั่นคง
หน้าที่แรกคือ ความรับผิดชอบของพวกเราแต่ละคนในฐานะพลเมืองที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดชีวิตทางการเมืองของชาติ อย่างจริงจัง ด้วยสันติวิธี และด้วยปัญญาความรู้ นี่เป็นหน้าที่หนึ่งของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เราแต่ละคนมีกันคนละเสียงเท่าเทียมกัน เราไม่เพียงมีส่วนร่วมทางการเมืองในเวลาเลือกตั้งเท่านั้น แต่เรามีส่วนร่วมได้ทุกวันคืน เมื่อเราพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองในหมู่ญาติมิตร เราควรเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่เชื่อการชักจูงของผู้อื่น เราควรเลือกสนับสนุนนักการเมืองชายหญิงที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ให้พวกเขาได้มาเป็นผู้นำทางการเมืองของเราในการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่กำลังจะมาถึงปลายปีนี้
ชาติของเราจะไม่มีวันได้รัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์หากทุกคนปล่อยให้การฉ้อราษฎร์บังหลวง และการไม่แยแสกับกระบวนการนิติธรรมดำเนินต่อไป ถ้าคนเข้ามาแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องร่ำรวยขึ้น ใช้อำนาจไปในทางมิชอบและทำการอย่างฉ้อฉล
เรื่องนี้เป็นการท้าทายประเทศชาติอันเป็นที่รักของเรา สิ่งที่สองที่รอเราอยู่ไม่เพียงในระยะเวลาหลายเดือนต่อไปแต่ในอนาคตข้างหน้าด้วย เราแต่ละคนต้องปฏิเสธการฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เพียงในเรื่องทางการเมืองเท่านั้นแต่ในทุกส่วนแห่งชีวิตของเราทุกคนต้องเลือกเคารพหลักนิติธรรมในฐานะรากฐานแห่งสังคมไทย
ผมได้ชี้ให้เห็นว่าการท้าทายทั้งสองอย่างและสิ่งที่เราต้องเลือกในการเผชิญกับการท้าทายนี้เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ผมได้กล่าวว่าเราต้องตัดสินใจเลือกทางเหล่านี้อันจะกำหนดทิศทางของสังคมไทยสำหรับคนไทยรุ่นต่อ ๆ ไปที่จะเกิดมาในแผ่นดินนี้ เราทุกคนมีอำนาจที่จะเลือกโฉมหน้าประเทศไทยชนิดที่เราอยากทิ้งไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลาน
เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะถ้าการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการไม่เคารพหลักนิติธรรมยังครอบงำการเมืองของเราอยู่ เราจะไม่มีวันมีรัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์โดยอาศัยกระบวนการประชาธิปไตยได้เลย และถ้าเราไม่มีรัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน เราก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลทุกรัฐบาลมุ่งแก้ไขให้หมดไป นั่นคือ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่นับวันจะห่างออกจากกัน มีแต่รัฐบาลที่ดีและซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยวิธีการชนิดที่ประเทศชาติรับภาระได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ทำให้พลเมืองที่อ่อนแอเสียเปรียบของเรามีพลังเข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราว
นักเศรษฐศาสตร์เรียกเรื่องนี้ว่า ความไม่เสมอภาคทางรายได้ ซึ่งสะท้อนความไม่เท่าเทียมกันทางทรัพย์สินระหว่างคนในประเทศ และนี่เป็นเหตุสำคัญให้คนในชาติของเราต้องแตกแยกกันในทางการเมืองเช่นนี้ ดังนั้น ในความเห็นของผม ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลต่อไปข้างหน้า รัฐบาลนั้นก็ต้องถือเอาการแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคกันทางรายได้เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วนที่สุดที่ต้องแก้ไขให้หมดสิ้นไปให้ได้
ผมขอจบสิ่งที่ผมพูดคุยกับท่านในวันนี้ด้วยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ประกอบด้วย ผู้พิพากษาอาวุโสของประเทศ 9 ท่าน ที่มีผลให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบและกรรมการบริหารพรรค ถูกห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เพราะได้ทำผิดกฎหมาย
นี่คือผลกรรมที่เราต้องรับ ถ้าเราจะไม่เคารพหลักนิติธรรมเพียงลมปาก ผมขอให้พี่น้องประชาชนที่รักของผมยอมรับการตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญ ให้ถือเป็นที่สุด
พรรคการเมืองเป็นเรื่องความคิด ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล ในประวัติชีวิตสั้น ๆ ของพรรคไทยรักไทย พรรคนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าชีวิตทางการเมืองของประเทศ นโยบายหลักหลายข้อของพรรคไทยรักไทยจะกลายเป็นมรดกทางการเมืองที่จะดำเนินต่อไปในสังคม เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาลสำหรับราษฎรทุกคน เราขอขอบคุณพรรคไทยรักไทยที่ได้สร้างและดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนยากคนจน ขณะเดียวกันเราก็ยอมรับคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนี้ เพราะทำความผิดทางการเมืองอย่างรุนแรง
สำหรับพี่น้องประชาชนทั้งหลายที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย ผมขอให้ท่านทราบว่า เราได้ยินเสียงของพวกท่าน ความทุกข์ร้อนของท่านเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดในวาระแห่งชาติ และผมมั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง ท่านจะมีผู้แทนให้ได้เลือกจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ชีวิตของพวกท่านดีขึ้น พี่น้องประชาชนที่รัก แม้ผมจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นขิงแก่ ฤาษีเลี้ยงเต่า ก็ไม่ได้ทำให้ผมท้อแท้ใจ แต่ขอให้ทุกท่านทราบว่า ผมพูดกับท่านในวันนี้จากหัวใจ ด้วยเกียรติ ด้วยศักดิ์ศรี และความซื่อตรง
ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมกำหนดทิศทางชีวิตทางการเมืองของประเทศชาติในค่ำวันนี้ ผมมั่นใจว่าเราทุกคนจะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง
Good evening fellow citizens:
By watching or listening to your Prime Minister this evening you are participating in the political life of your country. This participation is one of our most important responsibilities as citizens.
Why? You might ask. Because each of us has ideas and opinions about what sort of life we want for ourselves, our family and friends, our community, and our country — not just for today, but, more importantly, for our children’s generation.
And each of us has a single, equal voice — our vote — which we use to express our opinions each time we participate in an election to choose our representatives, at the Tumbon, provincial or national levels. This is the idea and the substance of this thing called democracy which all of us are struggling to make work. Each man or woman has a voice, our vote, and a responsibility to make use of this vote, and the will of the majority decides which direction our society will take.
But for democracy to work, in addition to all of use accepting that we have a responsibility to fully participate, utilizing our best judgement as to which political party and which representative best reflects our own view of our society — the way we want things to be — there is a second condition which must be fulfilled, namely, each of us must agree to a bide by the rule of law.
The rule of law means that all men and women are equal in the eyes of the law. Justice is available to all. No matter how rich and powerful you are, or how poor, the law will protect or punish you equally. There is one law for all.
For me this is the most important challenge our society faces today. If we are honest with ourselves, we must admit the rule of law hardly exists in our country today — and without it democracy, this system of political organization we are trying to make work cannot possibly function properly. If there is no justice, there can be no equality and certainly no democracy.
Some people will say that during the five years of the previous administration we had a functioning democracy. Citizens voted at general elections and the party with the most votes formed administration of our country. That sounds like democracy, doesn’t it?
But at the same time the rule of law came under fierce attack from the powerful, the rich and cronies. Corruption washed through our government. Even the new independent institutions created by the “People’s Constitution” of 1997 as a system of checks and balances to ensure good and transparent government were overwhelmed and failed to stem this tidal wave of greed.
Even Mr Thaksin accepted that this was the case when he told Time magazine’s readers around the world a few months ago that “corruption in Thailand won’t go away, it’s in the system”. What shameful words for any prime minister of our country to say, especially one who had promised to wage a war against corruption.
I would like to ask you this: Do we want to allow those people with ill intentions to steal our nation’s wealth day by day? I don’t think we do.
I believe we all understand that corruption always favours the richer and more powerful. I believe we all understand that if we want a better life for all the citizens of our beloved nation, then we must eradicate this cancer called corruption by every means possible, but especially by strengthening the rule of law. Only by taking this path can democracy flourish and deliver its promised benefits of equal opportunities for all our citizens.
So this is the path I have chosen for myself, as your interim Prime Minister, and for my administration during this one-year transition period toward free and fair general elections by the end of this year. To attack corruption in all its forms and strengthen the rule of law in our land.
None of us underestimates the difficulties involved, the deeply entrenched vested interests which must be overcome. All of us realize that is you the people who will decide in the final analysis if you wish to continue to be exploited by corruption or whether you are prepared to say no, no more. We are also realistic in what can be achieved in the available time. Seven months have passed since I presented this administration’s action plan to the National Legislative Assembly. Only six months remain of our expected term in office. We are making a strong start but it will be for you, my fellow citizens, to continue the fight by electing good men and women at the next general election who promise to carry on and complete the task of returning our beloved country to the rule of law.
My battleplan consists of four strategies:
The first I announced soon after my appointment as your Interim Prime Minister. The four operating principles of your Council of Ministers. In everything we do transparency, justice, efficiency and the economical and sustainable utilization of resources are the standards by which we judge our actions and our decisions. In other words, although we may be old and slow, we put honesty and public service above all else.
The second strategy involves deterrence. If nobody is ever punished for committing corrupt acts or abuse of power there is little reasons for people to stop their wrong doing. People need to realize that breaking the law carries the risk of punishment.
At least 13 major corruption allegations have been launched and each is being investigated thoroughly accordingly to the due process of law. This is time consuming work but I have resisted calls to short circuit the investigative and judicial processes by using executive decrees because I believe that the law must be seen to work if it is to be credible.
To date one case involving alleged tax avoidance from the sale of Shin Corp to Temasek has already entered the stage of criminal prosecution
A second case involves the purchase of the plot of land at Ratchadapisek Road from the Financial Institutions Development Fund (FIDF). This case has been recommended for criminal prosecution.
A third case involves the purchase of the CTX 9000 scanners and the airport link project for Suvarnabhumi Airport. The Assets Examinisation Committee has endorsed charges of malfeasance.
I expect more of the cases currently under investigation to proceed to the prosecution stage. But I wish to emphasise that everything will be done strictly according to the due process of law. All defendants are considered innocent until proven guilty in the courts.
My fellow citizens, in all honesty I must tell you that this is as painful a process for me to oversee, as it is, I expect, for many of you to witness. A large number of you placed great trust and hope in the leaders of the previous administration who you elected to the highest public offices. Only the courts can decide if these people have violated your trust for their own personal gain.
It is a hard lesson for all of us to learn but one without which I see no hope of rebuilding the integrity of the rule of law.
My third strategy to combat corruption involves a comprehensive review of all laws relating to corruption with a view to closing loopholes and promulgating new laws where necessary. This process is on-going.
As you can imagine any major initiative to reform the administration of justice in our country, to make sure it works, to make sure justice is available to every citizen, equally, must include reform of the Royal Thai Police.
This is the 4th component of my battleplan to make our country a more just society which our children can inherit with pride.
On the 13th November, 2006 I set up a Committee on Police Reform and invited several famous “honest cops” to be the members. This committee will constitute the most far-reaching reform of our national police force ever contemplated. They include decentralization, an independent public oversight committee, amended laws and regulations, enhanced public participation in police work and improving the skill development and welfare, especially of non-commissioned policemen.
To every member of the Royal Thai Police I say this. Do not be afraid of these coming reforms. Embrace them. Your country is making a determined effort to stamp out corruption and establish a society in which the rule of law offers justice to each and every citizen. This cannot be achieved without an efficient, honest and committed police force. Now is the time for you to step forward in the service of your fellow countrymen and women.
My fellow citizens, I have talked at some length this evening about two closely related challenges facing our country today, challenges which are the most important in my mind, challenges which requires each and every citizen to make real choices.
The first is the individual citizens’ responsibility to participate fully, peacefully and in an informed manner in the political life of our country. This is one of the duties of citizenship in a real democracy. Each one of us has an equal voice, one vote each. We exercise our participation not just at election time but every day as we discuss with our family or friends on-going political developments. We should choose to make up our own minds; not to blindly follow others. We should choose to look for good and honest men and women who we might support to become our elected representatives and leaders following the general elections at the end of this year.
(ยังมีต่อ)