วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปี 2550” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจัดขึ้น เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนในสังคมไทยเกิดความตระหนักและเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ “ถูกต้อง เป็นธรรม เป็นไทย” บังเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนและยั่งยืน ตลอดจนเพื่อเตรียม ความพร้อมของประชาชนในการลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคต โดยกำหนดให้จัดกิจกรรมทั่วประเทศ ส่วนกลาง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งผู้เข้าร่วมประมาณ 331 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี ประธานและรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานและรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรอิสระ ผู้บริหารระดับกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชนและภาคประชาชน ทั้งนี้ได้จัดให้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ไปยังส่วนภูมิภาค ซึ่งได้จัดกิจกรรมในจังหวัดจันทบุรี สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น และเชียงใหม่
กระทรวงมหาดไทยได้จัด “โครงการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปี 2550” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (2) เพื่อเป็นการเตรียมประชาชนให้พร้อมสำหรับออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น (3) เพื่อพัฒนาการเมือง การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยให้ถูกต้อง เป็นธรรม เป็นไทย อย่างแท้จริง โดยกำหนดสร้างวิทยากรแม่ไก่ จำนวนประมาณ 7,000 คน ให้ไปจัดตั้งและฝึกอบรมชุดปฏิบัติการขยายผลระดับตำบล/ชุมชน จำนวนประมาณ 45,000 คน เพื่อสร้างอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย (อสพป.) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของประชากรทั้งประเทศ หรือไม่น้อยกว่า 15 ล้านคนภายในเดือนกันยายน 2550 ให้เป็นผู้ขยายผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่หมู่บ้านและชุมชน เพื่อช่วยกันทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและปราศจาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปี 2550” เนื่องจากการที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้แก่ประชาชนในภาคส่วนต่างๆ เป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพราะในขณะที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ บ้านเมืองของเราอยู่ในช่วงที่การเมืองกำลังเกิดวิกฤต เกิดความขัดแย้งทางความคิด และเกิดความไม่เชื่อมั่นในการเมืองการปกครอง จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลจะต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ โดยเฉพาะการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นถือว่ามีความหมายถึงความเจริญเติบโตของพลังของประชาชน อันเป็นพลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือมีคนเป็นจำนวนมากที่รู้สึกเบื่อหน่ายการเมือง ไม่อยากรับรู้และไม่อยากเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเบื่อหน่าย เนื่องจากการเมืองคือส่วนหนึ่งของชีวิตของเราและเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเราโดยตรง โดยเฉพาะในขณะนี้เป็นโอกาสอันดีของประชาชนที่จะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดวิถีทางทางการเมืองของตนเอง เพราะประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเป็นกรอบและเป็นกติกาสำหรับอนาคตของประเทศและของคนไทยทุกคน
การลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนไทยทุกคนและต่อการกำหนดอนาคตของประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือประชาชนแต่ละคนได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยได้ทราบข้อเท็จจริง และได้ใช้วิจารณญาณของตัวเองอย่างถ่องแท้หรือไม่ หรือโดยมีการชี้นำจากฝ่ายใดหรือไม่ เพราะผลของการลงประชามติที่ได้มีการกำหนดทิศทางโดยใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ล่วงหน้าย่อมไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย อาจจะทำให้การเมืองการปกครองของเราเกิดปัญหาต่อไปในอนาคตด้วย
การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงมีความสำคัญ และสามารถเลือกใช้ช่องทางต่างๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพราะยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่อาจจะไม่สนใจข่าวสารจากวิทยุหรือโทรทัศน์ จึงต้องใช้ช่องทางอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมมากกว่า ซึ่งถือว่าจะเป็นหน้าที่ อสพป. ที่ต้องเร่งช่วยกันเข้าไปทำความเข้าใจ เพื่อให้ได้ความเห็นที่แท้จริงจากประชาชนและการให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ประการแรก ให้ อสพป. ผนึกกำลังในการดำเนินการร่วมกัน โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ และผู้อำนวยการเขต ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองดูแลพื้นที่ต้องร่วมกันทำงานและให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ประการที่สอง ขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่าทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกันสมัครเป็น “อาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย” เพื่อเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาการเมืองการปกครองของไทยให้ “ถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นไทย” เสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติ และร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประการที่สาม ให้วิทยากรแม่ไก่ และ “อาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย” ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ และขยายความร่วมมือออกสู่ภาคส่วนต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ ความสำเร็จในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆ อย่างมากที่สุด และภารกิจ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ลงนามสมัครเป็นสมาชิก อสพป. โดยนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบเข็มกลัด อสพป. ให้แก่นายกรัฐมนตรีในฐานะสมาชิก อสพป. คนแรก หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบเข็มกลัดให้สมาชิก อสพป. ที่มาร่วมงานในวันนี้ทุกท่าน และกล่าวนำปฏิญาณตน ดังนี้ “ข้าพเจ้า (เอ่ยนามตนเอง....) ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด จะไม่ซื้อสิทธิ์ ไม่ขายเสียง และจะร่วมกันพัฒนาประชาธิปไตยให้เกิดความถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นไทยตลอดไป” ก่อนที่จะเยี่ยมชมนิทรรศการต่อไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
กระทรวงมหาดไทยได้จัด “โครงการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปี 2550” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (2) เพื่อเป็นการเตรียมประชาชนให้พร้อมสำหรับออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น (3) เพื่อพัฒนาการเมือง การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยให้ถูกต้อง เป็นธรรม เป็นไทย อย่างแท้จริง โดยกำหนดสร้างวิทยากรแม่ไก่ จำนวนประมาณ 7,000 คน ให้ไปจัดตั้งและฝึกอบรมชุดปฏิบัติการขยายผลระดับตำบล/ชุมชน จำนวนประมาณ 45,000 คน เพื่อสร้างอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย (อสพป.) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของประชากรทั้งประเทศ หรือไม่น้อยกว่า 15 ล้านคนภายในเดือนกันยายน 2550 ให้เป็นผู้ขยายผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่หมู่บ้านและชุมชน เพื่อช่วยกันทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและปราศจาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปี 2550” เนื่องจากการที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้แก่ประชาชนในภาคส่วนต่างๆ เป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพราะในขณะที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ บ้านเมืองของเราอยู่ในช่วงที่การเมืองกำลังเกิดวิกฤต เกิดความขัดแย้งทางความคิด และเกิดความไม่เชื่อมั่นในการเมืองการปกครอง จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลจะต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ โดยเฉพาะการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นถือว่ามีความหมายถึงความเจริญเติบโตของพลังของประชาชน อันเป็นพลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือมีคนเป็นจำนวนมากที่รู้สึกเบื่อหน่ายการเมือง ไม่อยากรับรู้และไม่อยากเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเบื่อหน่าย เนื่องจากการเมืองคือส่วนหนึ่งของชีวิตของเราและเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเราโดยตรง โดยเฉพาะในขณะนี้เป็นโอกาสอันดีของประชาชนที่จะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดวิถีทางทางการเมืองของตนเอง เพราะประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเป็นกรอบและเป็นกติกาสำหรับอนาคตของประเทศและของคนไทยทุกคน
การลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนไทยทุกคนและต่อการกำหนดอนาคตของประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือประชาชนแต่ละคนได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยได้ทราบข้อเท็จจริง และได้ใช้วิจารณญาณของตัวเองอย่างถ่องแท้หรือไม่ หรือโดยมีการชี้นำจากฝ่ายใดหรือไม่ เพราะผลของการลงประชามติที่ได้มีการกำหนดทิศทางโดยใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ล่วงหน้าย่อมไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย อาจจะทำให้การเมืองการปกครองของเราเกิดปัญหาต่อไปในอนาคตด้วย
การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงมีความสำคัญ และสามารถเลือกใช้ช่องทางต่างๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพราะยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่อาจจะไม่สนใจข่าวสารจากวิทยุหรือโทรทัศน์ จึงต้องใช้ช่องทางอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมมากกว่า ซึ่งถือว่าจะเป็นหน้าที่ อสพป. ที่ต้องเร่งช่วยกันเข้าไปทำความเข้าใจ เพื่อให้ได้ความเห็นที่แท้จริงจากประชาชนและการให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ประการแรก ให้ อสพป. ผนึกกำลังในการดำเนินการร่วมกัน โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ และผู้อำนวยการเขต ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองดูแลพื้นที่ต้องร่วมกันทำงานและให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ประการที่สอง ขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่าทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกันสมัครเป็น “อาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย” เพื่อเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาการเมืองการปกครองของไทยให้ “ถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นไทย” เสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติ และร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประการที่สาม ให้วิทยากรแม่ไก่ และ “อาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย” ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ และขยายความร่วมมือออกสู่ภาคส่วนต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ ความสำเร็จในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆ อย่างมากที่สุด และภารกิจ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ลงนามสมัครเป็นสมาชิก อสพป. โดยนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบเข็มกลัด อสพป. ให้แก่นายกรัฐมนตรีในฐานะสมาชิก อสพป. คนแรก หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบเข็มกลัดให้สมาชิก อสพป. ที่มาร่วมงานในวันนี้ทุกท่าน และกล่าวนำปฏิญาณตน ดังนี้ “ข้าพเจ้า (เอ่ยนามตนเอง....) ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด จะไม่ซื้อสิทธิ์ ไม่ขายเสียง และจะร่วมกันพัฒนาประชาธิปไตยให้เกิดความถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นไทยตลอดไป” ก่อนที่จะเยี่ยมชมนิทรรศการต่อไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--