แท็ก
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
อภิชาต สุขัคคานนท์
สุรยุทธ์ จุลานนท์
นรนิติ เศรษฐบุตร
โรงแรมดุสิตธานี
วันนี้ ที่โรงแรมดุสิตธานี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมรับประทานอาหารและพบปะนักธุรกิจญี่ปุ่นว่า บ่ายวันนี้จะมีการหารือร่วมกับนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกตั้ง เพื่อให้ทำงานได้ทันเวลา และการที่จะได้กล่าวกับนักธุรกิจญี่ปุ่นว่าจะจัดการเลือกตั้งให้ได้ภายในปลายปีนี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจ และเป็นความตั้งใจของตนเองด้วย ก็คิดว่าทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) มีความคิดที่ตรงกันในทางที่เราจะดำเนินการให้ไปสู่การเลือกตั้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างต้องมีความพร้อมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะที่รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่น แต่ประธาน คมช.กลับออกมาพูดทำนองชี้นำว่าหลังการเลือกตั้งจะมีพรรคใหญ่ 2-3 พรรคได้เป็นรัฐบาล เป็นการสวนทางกันหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลอยู่ในขั้นตอนของการที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง คงไม่ได้พูดว่าใครจะมาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งบ้าง การเลือกตั้งในความคิดของรัฐบาลเราต้องการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เราไม่ได้จำกัดเฉพาะ อยากให้ทุกส่วนเข้ามามีส่วนร่วม
ส่วนกรณีที่พรรคไทยรักไทยออกมาวิจารณ์ว่าทาง คมช.และรัฐบาลมีธงในการจัดตั้งรัฐบาลไว้แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ได้เป็นอย่างนั้นและรัฐบาลคงไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล เพราะหลังจากการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกด้วยเสียงข้างมากก็จะเป็นผู้ที่จัดตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างอยู่ในปัจจุบันนี้ คิดว่าไม่น่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลหรือคลุมถุงชนอย่างที่บางฝ่ายออกมาวิจารณ์ เรายังมีเวลาพอที่จะดูว่าพรรคการเมืองใดที่จะเข้ามามีบทบาท และในช่วงเวลาที่เหลือยังมีเวลาพอที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ทาง สนช.ระบุว่าการพิจารณาการยกเลิกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ฉบับที่ 15 อาจจะไม่ทันใน 3 วาระรวด จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกันของพรรคการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ สนช.จะพิจารณา เพราะพ้นจากการพิจารณาของฝ่ายบริหารและเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว ซึ่งรัฐบาลได้แสดงจุดยืนไปแล้วว่าอยากที่จะให้ดำเนินการโดยเร็ว ส่วนจะมีข้อพิจารณาหรือเหตุผลอื่นใดก็เป็นเรื่องที่ต้องไปพิจารณากันใน สนช.
“ผมคิดว่ามีเวลาให้พรรคการเมืองพอ ยิ่งเราสามารถที่จะกำหนดเวลาได้ล่วงหน้าก็จะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกคนอยากเห็นการเลือกตั้งที่ค่อนข้างจะเปิดกว้าง มีเสรี มีความโปร่งใส เป็นเรื่องที่เราต้องเสริมสร้างขึ้นมา ในบ้านเมืองของเรา แต่ถ้าเราปิดครึ่งหนึ่งเปิดครึ่งหนึ่ง คิดว่าไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย เป็นระบบพรรคพวกมากกว่า” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้อยู่ที่ประชาชนจะสนับสนุนว่าพรรคใดมีนโยบายที่เหมาะสม มีบุคคลที่เหมาะสมที่จะมาบริหารประเทศ นั่นเป็นจุดที่อยากเสนอว่าการที่จะเลือกผู้ที่จะมาบริหารประเทศต่อไป ควรเลือกจากนโยบายของพรรค บุคลากร และยิ่งเป็นพรรคที่มีบุคลากรที่เชื่อถือได้ มีคุณธรรม มีความโปร่งใส สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนประกอบที่ประชาชนจะนำไปเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการที่จะใช้สิทธิของเราเลือกใครเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศต่อไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะที่รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่น แต่ประธาน คมช.กลับออกมาพูดทำนองชี้นำว่าหลังการเลือกตั้งจะมีพรรคใหญ่ 2-3 พรรคได้เป็นรัฐบาล เป็นการสวนทางกันหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลอยู่ในขั้นตอนของการที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง คงไม่ได้พูดว่าใครจะมาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งบ้าง การเลือกตั้งในความคิดของรัฐบาลเราต้องการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เราไม่ได้จำกัดเฉพาะ อยากให้ทุกส่วนเข้ามามีส่วนร่วม
ส่วนกรณีที่พรรคไทยรักไทยออกมาวิจารณ์ว่าทาง คมช.และรัฐบาลมีธงในการจัดตั้งรัฐบาลไว้แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่ได้เป็นอย่างนั้นและรัฐบาลคงไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล เพราะหลังจากการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกด้วยเสียงข้างมากก็จะเป็นผู้ที่จัดตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างอยู่ในปัจจุบันนี้ คิดว่าไม่น่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลหรือคลุมถุงชนอย่างที่บางฝ่ายออกมาวิจารณ์ เรายังมีเวลาพอที่จะดูว่าพรรคการเมืองใดที่จะเข้ามามีบทบาท และในช่วงเวลาที่เหลือยังมีเวลาพอที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ทาง สนช.ระบุว่าการพิจารณาการยกเลิกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ฉบับที่ 15 อาจจะไม่ทันใน 3 วาระรวด จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกันของพรรคการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ สนช.จะพิจารณา เพราะพ้นจากการพิจารณาของฝ่ายบริหารและเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว ซึ่งรัฐบาลได้แสดงจุดยืนไปแล้วว่าอยากที่จะให้ดำเนินการโดยเร็ว ส่วนจะมีข้อพิจารณาหรือเหตุผลอื่นใดก็เป็นเรื่องที่ต้องไปพิจารณากันใน สนช.
“ผมคิดว่ามีเวลาให้พรรคการเมืองพอ ยิ่งเราสามารถที่จะกำหนดเวลาได้ล่วงหน้าก็จะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกคนอยากเห็นการเลือกตั้งที่ค่อนข้างจะเปิดกว้าง มีเสรี มีความโปร่งใส เป็นเรื่องที่เราต้องเสริมสร้างขึ้นมา ในบ้านเมืองของเรา แต่ถ้าเราปิดครึ่งหนึ่งเปิดครึ่งหนึ่ง คิดว่าไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย เป็นระบบพรรคพวกมากกว่า” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้อยู่ที่ประชาชนจะสนับสนุนว่าพรรคใดมีนโยบายที่เหมาะสม มีบุคคลที่เหมาะสมที่จะมาบริหารประเทศ นั่นเป็นจุดที่อยากเสนอว่าการที่จะเลือกผู้ที่จะมาบริหารประเทศต่อไป ควรเลือกจากนโยบายของพรรค บุคลากร และยิ่งเป็นพรรคที่มีบุคลากรที่เชื่อถือได้ มีคุณธรรม มีความโปร่งใส สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนประกอบที่ประชาชนจะนำไปเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการที่จะใช้สิทธิของเราเลือกใครเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศต่อไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--