ในการปฏิรูปการเมืองการปกครองและการบริหารนั้น จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปฏิรูปการใช้ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งในด้านการศึกษา และปลูกฝังความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งการเน้นการทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระของการปฏิรูปการเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการสื่อสารที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เข้าสู่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือระบบ 3G เป็นต้น
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่สอง การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน และผลักดันให้เกิดการปฏิบัติในสังคมไทย โดยใช้หลักคุณธรรมกำกับการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบตลาดเสรี เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบความยั่งยืนและความพอดี โดยเน้นให้ภาคเอกชนมีบทบาทนำ และผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยการดำเนินงานใน 3 ระดับ คือ
ระดับเศรษฐกิจฐานราก รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างให้เกิดความเข้มแข็งกับเศรษฐกิจฐานราก โดยการสนับสนุนการพัฒนาการเกษตร ตามแนวทฤษฎีใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรรายย่อย ควบคู่ไปกับการขยายโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และยกระดับของผลผลิต โดยอาศัยเทคโนโลยี การจัดการ และการเชื่อมโยงกับการตลาด
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยผ่านศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ 40 ศูนย์ และมีเกษตรกรเข้าร่วม 20,000 รายได้ดำเนินการจัดการหนี้สินของเกษตรกร โดยผ่านกลไกต่าง ๆ ได้แก่ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าและการดูแลราคาสินค้าเกษตร ได้ทำให้ราคาพืชผลเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2550 ปรับสูงขึ้นจากตันละ 8,900 — 9,400 บาทในปีที่แล้ว เป็นตันละ 11,300-11,500 บาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11.6 ราคาหัวมันสดปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.30 — 1.40 บาท จากกิโลกรัมละ 1.05 บาท เป็นต้น
การสร้างความเข้มแข็งของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น จำเป็นที่ต้องเริ่มจากการสร้างความเข้มแข็งในระดับท้องถิ่นเป็นลำดับแรก โดยประชาชนและชุมชนที่อยู่ในท้องถิ่นต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการสร้างองค์ความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการเสริมสร้างอาชีพ และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ท้องถิ่น รัฐบาลจึงได้จัดทำ "ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด" และโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชนและชุมชนต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและชุมชนด้วยกระบวนการเรียนรู้และดำรงชีวิตตามแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข บนพื้นฐานของคุณธรรมความรู้และความเพียร ในขณะเดียวกันต้องการเสริมสร้างความสมดุลของกระบวนการพัฒนาที่สอดคล้องกับลักษณะภูมิสังคม สนับสนุนภาคเศรษฐกิจชุมชนควบคู่ไปกับการดูแลชุมชนที่ไม่พร้อมหรือผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ด้วยการจัดสวัสดิการให้ทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชุมชนต้องมิให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานในภูมิภาค รัฐบาลจึงได้เห็นชอบงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาทสำหรับดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชนและภาคประชาสังคม ให้ร่วมกันรับผิดชอบบริหารทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ
ระดับเศรษฐกิจระบบตลาด รัฐบาลถือเป็นหลักนโยบายที่จะให้กลไกการตลาดสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ภายใต้หลักคุณธรรมและการสร้างความเป็นธรรมในภาคเศรษฐกิจ และขจัดการดำเนินการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยรัฐบาลได้อาศัยกลไกการตลาดเสรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันด้วยความเป็นธรรม ในการพัฒนาอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การส่งออกและการท่องเที่ยว
รัฐบาลได้วางรากฐานให้การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมมีความสอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่พัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก พื้นที่ อ.มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมหนักของประเทศ และมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษทางอากาศนั้น ในระยะเร่งด่วน รัฐบาลโดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการลดและขจัดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยอง พ.ศ. 2550-2554 โดยจัดทำ แผนปฏิบัติการ 5 ปี ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2550 เป็นต้นไป ครอบคลุม 5 มาตรการหลัก คือ (1) ลดมลพิษทั้งในและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม (2) ติดตามและตรวจสอบระดับมลพิษ (3) ดูแลด้านสาธารณสุขและอนามัยของประชาชน (4) ศึกษาความสามารถในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่ในอนาคต และ (5) ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและตรวจสอบ
นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ระยะยาว และจัดตั้งกลไกบริหารจัดการ ที่ประกอบด้วย ภาครัฐ ประชาชน และผู้ประกอบการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ และรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ก็ได้ดำเนินการสร้างระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ภายใต้การมีส่วนร่วมของ 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สร้างระบบธรรมาภิบาลในองค์กร และตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย และจัดให้มีการศึกษาเตรียมการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลังงานของประเทศในอนาคต โดยกำหนดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของขีดความสามารถในการรองรับอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะมลภาวะและผลกระทบต่อสุขอนามัยของแรงงานและประชาชน และการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
ระดับเศรษฐกิจส่วนรวม รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ โดยได้ดำเนินการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจส่วนรวม และการจัดทำแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพแห่งชาติ โดยรัฐบาลได้ติดตามดูแลความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงินบาท และการเคลื่อนย้ายของเงินทุนนำเข้า เพื่อมิให้ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ตามที่ได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ในนโยบายรัฐบาลว่ารัฐบาลต้องการเน้นการขยายตัวอย่างมีคุณภาพของระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลก็ได้ผลักดันให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาตนเอง ด้วยการพัฒนาผลิตภาพที่เกิดจากภายในและร่วมมือกับภาครัฐอย่างบูรณาการ ซึ่งในการเพิ่มประสิทธิ ภาพระบบเศรษฐกิจบนฐานความรู้ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการสำคัญที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนา โดยการเร่งรัดทำแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา และแผนแม่บทการสร้างเสริมประสิทธิภาพแห่งชาติ เพื่อการวางรากฐานการยกระดับประสิทธิภาพไปพร้อมกับการพัฒนานวัตกรรม โดยได้เริ่มจากภาคอุตสาหกรรมเป็นลำดับแรก และจะขยายไปสู่ภาคการผลิตและบริการสาขาอื่น ๆ ในระยะต่อไป
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่สาม การดำเนินนโยบายทางสังคม รัฐบาลได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมให้เข้มแข็ง โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างความสมานฉันท์ ให้คนในชาติอยู่เย็นเป็นสุข บนพื้นฐานของคุณธรรม จากสาเหตุหลักในเรื่องความขัดแย้งของสังคม ซึ่งเป็นต้นเหตุโยงไปสู่ปัญหาการเมือง การเศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ รัฐบาลนี้จึงได้ดำเนินการเสริมสร้างความสมานฉันท์ในชาติโดยจัดทำแผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขซึ่งเน้นการสร้างสังคมไม่ทอดทิ้งกัน สังคมเข้มแข็ง และสังคมคุณธรรม รวมทั้งส่งเสริมการสร้างสังคมสันติสุขบนพื้นฐานวัฒนธรรมไทย ด้วยการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมทุกจังหวัด และเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาที่ยึดคุณธรรมนำความรู้ การสร้างจิตสำนึกและปรับพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมการจัดค่ายต่าง ๆ
สำหรับการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนนั้น รัฐบาลได้มุ่งพัฒนานโยบายหลักประกันสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และผลักดันการสร้างสมดุลของระบบบริการสุขภาพ ทั้งในด้านการเสริมสร้าง ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ ส่งเสริมการลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยงภายใต้โครงการหมู่บ้านสร้างเสริมสุขภาพชุมชนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้ง รัฐบาลยังได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ และประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณได้หลายพันล้านบาท
สำหรับการป้องกัน แก้ไขปัญหาสังคม และความเดือดร้อนของประชาชน รัฐบาลได้จัดทำยุทธศาสตร์ 5 ปี สร้างสวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2550 — 2554) และแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมไทยเพื่อชีวิตมั่นคง เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสังคมและความคุ้มครองสิทธิของผู้ด้อยโอกาส ในการดำเนินงานด้านการปฏิรูประบบยุติธรรมนั้น รัฐบาลได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างความเป็นธรรมในสังคม ด้านการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้โดยให้ชุมชนเป็นแกนหลักและกำลังพัฒนาระบบงานตำรวจให้โปร่งใส ตรวจสอบได้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้จัดทำ "แผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างสมานฉันท์" เพื่อมุ่งลดความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ มาตรการสำคัญที่ได้ดำเนินการ ได้แก่ การเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนำความรู้ การพัฒนาสุขภาวะของประชาชนให้ครอบคลุมทั้งมิติทางกาย จิตใจ และปัญญา โดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ การส่งเสริมกีฬาพื้นฐานและกีฬามวลชนเพื่อให้ประชาชนทุกระดับมีโอกาสเล่นกีฬาและออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ โดยการจัดให้มีสถานที่ออกกำลังกายทั้งในรูปลานกีฬาและสวนสุขภาพในทุกชุมชนกว่า 40,000 แห่ง ทั่วประเทศ ให้บริการประชาชนได้กว่า 7 ล้านคน นอกจากนี้ รัฐบาลได้มุ่งเน้นการป้องกันและแก้ปัญหาสังคม ยาเสพติด และความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดระบบสวัสดิการชุมชนให้เชื่อมโยงกับการจัดสวัสดิการสังคมของภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการสนับสนุนการแก้ปัญหา และฟื้นฟูชุมชนที่ประสบภัยพิบัติขึ้น เพื่อเป็นกลไกประสานงานดำเนินการใน 29 จังหวัด
รัฐบาลได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคม สถาบันครอบครัว ตลอดจนส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมไทย เช่น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์สร้างสวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2550-2554) แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมไทยเพื่อชีวิตมั่นคง แผนปฏิบัติการส่งเสริมสถาบันครอบครัว (พ.ศ.2550—2554) แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2550-2554 แผนคุณธรรม จริยธรรม เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนมีคุณธรรม เป็นต้น
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่สี่ การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินบทบาทเชิงรุกในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโลกมุสลิม และร่วมมือกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านมุสลิม ทั้งด้านการข่าวและการแลกเปลี่ยนข้อมูล การควบคุมพื้นที่แนวชายแดน โดยรัฐบาลได้ดำเนินยุทธศาสตร์ของไทยต่อองค์กรและประเทศสำคัญในโลกมุสลิม เพื่อสร้างพันธมิตรของไทยในโลกมุสลิม ควบคู่กับการส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและพลังงาน รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ในด้าน
ต่าง ๆ ควบคู่กับการสร้างความเข้าใจและยึดถือความปรอง ดองสมานฉันท์ของคนในชาติเป็นหลัก (เช่น การจัดฝึกอบรมการป้องกันไข้หวัดนกให้ประเทศสมาชิกองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) และสหภาพแอฟริกา (AU) การถ่ายทอดเทคโน โลยีการผลิตยาแผนปัจจุบันและการป้องกันโรคมาลาเรียและโรคเอดส์ให้แก่ประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตก การถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างฝนหลวงแก่ประเทศแทนซาเนีย เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินการเร่งส่งเสริมให้เกิดมิตรภาพและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และระหว่างภูมิภาค โดยความสัมพันธ์กับประเทศจีนนั้น รัฐบาลได้แลกเปลี่ยนการเยือนและเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้า การลงทุนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างกัน รวมทั้งรัฐบาลยังได้จัดทำข้อตกลงกับต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัย และการท่องเที่ยวกับประเทศบรูไน และดำเนินการทบทวนความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การเจรจาจัดทำสนธิสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางอาญา และการจัดทำบันทึกความตกลงระหว่างกันว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ กับประเทศฟิลิปปินส์ เป็นต้น
สำหรับการดำเนินบทบาทสร้างสรรค์ในกรอบสหประชาชาติและกรอบพหุภาคีอื่น ๆ นั้น รัฐบาลได้ทำความเข้าใจและชี้แจงเกี่ยวกับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นกับต่างประเทศ ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศเป็นที่ยอมรับมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนการมีส่วนร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ โดยส่งทหาร 7นาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในปฏิบัติการในเนปาลและในติมอร์-เลสเต ตามที่สหประชาชาติร้องขอ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 1740/2007 และเป็นการสานต่อบทบาทไทยในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่ห้า การดำเนินนโยบายด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายโดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อการป้องกันประเทศ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การจัดระบบแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการดำเนินการต่อผู้หลบหนีเข้าเมือง พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้มุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ ซึ่งให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงของรัฐ การพิทักษ์รักษาและการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การพัฒนาระบบการข่าว การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศด้านความมั่นคง การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเองทางทหาร เพื่อประหยัดงบประมาณจากการจัดหาอาวุธใหม่และลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ เป็นต้น
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
จากการดำเนินมาตรการตามนโยบายที่กำหนดไว้ ทำให้นานาประเทศมีความเข้าใจและเชื่อมั่น ต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยต่างก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่จะกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย และจะจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมในเดือนธันวาคม ศกนี้
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ เช่น หลังจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหภาพยุโรป ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ประเทศที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศไทยได้กลับมีท่าทีเข้าใจและรับฟังรัฐบาลไทย ทั้งเยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และคณะกรรมาธิการยุโรป นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ได้แสดงท่าทีเข้าใจไทยในระหว่างการประชุมเอเปคที่เวียดนามเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 และต่อมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจเข้าร่วมการฝึก Cobra Gold ประจำปี 2550 อย่างเช่นทุกปีที่ผ่านมา
สำหรับประเทศที่เคยมีท่าทีเย็นชาในสมัยรัฐบาลที่แล้วก็ได้หันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รวมทั้งการให้ความร่วมมือภายใต้กรอบต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่อนุภูมิภาคชายแดนในกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (IMT-GT) และยุทธศาสตร์ร่วมสำหรับการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย (JDS)
นอกจากนี้ การสานต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและมิตรประเทศก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ รวมทั้ง ยังได้เน้นส่งเสริมความสัมพันธ์บนพื้นฐานของคุณธรรมและความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ตามแนวนโยบาย 4 ป. มากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนอยู่เคียงข้างไทยมาโดยตลอด รวมทั้งญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าและมีการลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด ได้ให้การต้อนรับการเยือนของกระผมอย่างสมเกียรติและอบอุ่นในระหว่างวันที่ 2-5 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นและพร้อมที่จะรักษาและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนกับไทย
ส่วนของประชาคมระหว่างประเทศ พบว่า ประเทศไทยยังอยู่ในความสนใจของประชาคมอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมเยือนของผู้นำต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ และรัฐบาลยังได้เข้าร่วมการประชุมในกรอบความร่วมมือต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลต่างประเทศได้ให้การยอมรับรัฐบาลไทยและพร้อมจะสานต่อความร่วมมือในสาขาต่างๆ ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง การค้า การลงทุน และการพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันต่อไป
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
สำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไปของรัฐบาลนั้น รัฐบาลมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณ 6 เดือน สำหรับการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ดังนั้น การดำเนินงานช่วงต่อไป รัฐบาลจำเป็นต้องกำหนดจุดเน้นของการดำเนินการ เพื่อวางรากฐานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สามารถดำเนินการลุล่วงไปได้ในช่วงรัฐบาลนี้ โดยมี 6 เรื่องด้วยกัน ที่รัฐบาลจะ
เร่งดำเนินการในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
เรื่องที่หนึ่ง สนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญและสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง
การดำเนินการในระยะ 6 เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะเร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวร ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการจัดทำ พร้อมสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเรื่องประชาธิปไตย และรับฟังข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นการร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนตื่นตัวในการเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และดำเนินการให้สามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปได้ตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
เรื่องที่สอง ส่งเสริมความสมานฉันท์ในสังคม
รัฐบาลจะพยายามสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องและเต็มความสามารถ โดยอาศัยกระบวนการสมานฉันท์ต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาระบบการศึกษา โดยการจัดตั้ง "วิทยาลัยอิหม่าม" ขึ้นในจังหวัดยะลา โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงวัฒนธรรม
การจัดตั้ง "วิทยาลัยอิสลามศึกษานานาชาติ" ขึ้นภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ของกระทรวงศึกษาธิการ และการยกฐานะ "วิทยาลัยอิสลามยะลา" เป็น "มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา" ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของเอกชน รวมทั้งโครงการ "สานใจไทยสู่ใจใต้" และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ "เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้" เป็นต้น
เรื่องที่สาม ผูกมิตรและสร้างความสัมพันธ์บนผลประโยชน์ร่วมกัน
ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลจะเร่งสานต่อความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และลดปัญหาข้ามแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย และเตรียมการฟื้นฟูภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นในภูมิภาค รวมทั้งสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องกับมิตรประเทศมุสลิมสายกลาง เช่น มาเลเซียและสมาชิกองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) เกี่ยวกับแนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาภาคใต้และป้องกันไม่ให้ปัญหาภาคใต้ของไทยเป็นปัญหาสากล
เรื่องที่สี่ ส่งเสริมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลจะดำเนินการต่อเนื่องในการส่งเสริมยุทธศาสตร์ความอยู่ดีมีสุขทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด โดยในปี 2551 กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการส่งแผนและข้อเสนองบประมาณตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาในกลางเดือนมิถุนายน 2550 ซึ่งการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์จะได้มีการติดตามและประเมินผล เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการระดับชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป
แนวทางการทำงานในช่วงระยะเวลาที่เหลือประมาณ 6 เดือน รัฐบาลจะเร่งดำเนินการปฏิรูปการศึกษา เพื่อวางรากฐานการพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีคุณภาพ ยึดหลักคุณธรรมนำความรู้ และสามารถเป็นแรงงานสำคัญในการพัฒนาประเทศได้ในอนาคต พร้อมกับการพัฒนาให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยจะเร่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานด้านสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยารักษาโรคที่จำเป็น และระบบบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
โดยจะจัดทำแผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ และแผนพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขในสังคมไทยมากขึ้น
เรื่องที่ห้า ผลักดันระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพบนฐานความรู้และนวัตกรรม
รัฐบาลจะเร่งการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับและขยายผล แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา และ แผนแม่บทการสร้างเสริมประสิทธิภาพแห่งชาติ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยในภาคอุตสาหกรรมจะมีผู้ประกอบการใน 13 สาขาอุตสาหกรรม เข้าร่วมจำนวนมากกว่า 4,500 โรงงาน ในวงเงินงบประมาณ 1,100 ล้านบาท อันจะนำไปสู่การที่ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตัวเองในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระยะยาว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะได้เร่งรัดการดำเนินการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อไป โดยจะเร่งดำเนินการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก รวมทั้งขยายความร่วมมือด้านพลังงานกับต่างประเทศ เร่งรัดการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความมั่นคงและตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ การลงทุนในกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง การปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เหมาะสม เป็นธรรม สอดคล้องกับกลไกตลาดมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่หก การสร้างความมั่นใจให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและสมดุล
รัฐบาลจะเร่งรัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านทางนโยบายการคลัง ให้เกิดความสอดประสานกับนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ เร่งรัดหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจใช้จ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นหลักการบริหารประเทศในปัจจุบัน
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล รัฐบาลยังคงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ซึ่งรัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากสมาชิกสภาทุกท่านในการดำเนินการดังกล่าวให้ลุล่วง เพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐมีความต่อเนื่อง โดยหลักการและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปี 2551 จะเป็นครั้งแรกที่การจัดทำงบประมาณได้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยส่วนราชการที่ขอตั้งงบประมาณจะต้องยึดหลักของความคุ้มค่า ความเหมาะสม และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 เห็นชอบการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณการ พ.ศ. 2551 จำนวน 1.635 ล้านล้านบาท รายได้ 1.515 ล้านล้านบาท ขาดดุล 120,000 ล้านบาท
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักดีว่าในช่วงเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว และที่กำลังจะดำเนินการต่อไปหลายเรื่อง ได้ส่งผลดีในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สามารถที่จะบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันการดำเนินงานในอีกหลายเรื่องของรัฐบาลเป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตและยังไม่อาจจะส่งผลให้เป็นที่ประจักษ์ได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขและการปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการบนฐานของการใช้ความรู้ และนวัตกรรม แต่รัฐบาลของกระผมจะไม่ลังเลใจที่จะผลักดันสิ่งที่ดีเหล่านี้ ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยในระยะยาว และมีความเชื่อมั่นว่าการวางพื้นฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว จะได้รับการสืบทอดและดำเนินการอย่างต่อเนื่องในคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี คณะรัฐบาลชุดปัจจุบันและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะไม่สามารถผลักดันนโยบายที่ดีเหล่านี้ ไปสู่ผลสัมฤทธิ์และเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือ ร่วมใจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่า ความร่วมมือ ร่วมใจ จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการทำความเข้าใจร่วมกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก โดยการน้อมนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมของทุกฝ่าย อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อช่วยเสริมสร้างสังคมไทยให้มีความร่มเย็นเป็นสุขร่วมกันในระยะยาว รัฐบาลพร้อมที่จะรับข้อเสนอแนะจากท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติในที่นี้ เพื่อนำไปประกอบการดำเนินการบริหารประเทศ
แม้วาระของรัฐบาลจะเป็นเพียงการชั่วคราว และเป็นช่วงเวลาที่สั้น รัฐบาลมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ และได้ทุ่มเทในการดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความสุจริต และความจริงใจที่ต้องการเห็นความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นในสังคมไทย ให้คนไทยทุกคนได้รับโอกาสในสังคมตามที่พึงจะได้รับ และวางรากฐานที่มั่นคงให้สังคมมีความสมานฉันท์ เศรษฐกิจมีความยั่งยืน และการเมืองก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน
ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่สอง การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน และผลักดันให้เกิดการปฏิบัติในสังคมไทย โดยใช้หลักคุณธรรมกำกับการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบตลาดเสรี เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบความยั่งยืนและความพอดี โดยเน้นให้ภาคเอกชนมีบทบาทนำ และผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยการดำเนินงานใน 3 ระดับ คือ
ระดับเศรษฐกิจฐานราก รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างให้เกิดความเข้มแข็งกับเศรษฐกิจฐานราก โดยการสนับสนุนการพัฒนาการเกษตร ตามแนวทฤษฎีใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรรายย่อย ควบคู่ไปกับการขยายโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และยกระดับของผลผลิต โดยอาศัยเทคโนโลยี การจัดการ และการเชื่อมโยงกับการตลาด
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยผ่านศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ 40 ศูนย์ และมีเกษตรกรเข้าร่วม 20,000 รายได้ดำเนินการจัดการหนี้สินของเกษตรกร โดยผ่านกลไกต่าง ๆ ได้แก่ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าและการดูแลราคาสินค้าเกษตร ได้ทำให้ราคาพืชผลเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2550 ปรับสูงขึ้นจากตันละ 8,900 — 9,400 บาทในปีที่แล้ว เป็นตันละ 11,300-11,500 บาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 11.6 ราคาหัวมันสดปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.30 — 1.40 บาท จากกิโลกรัมละ 1.05 บาท เป็นต้น
การสร้างความเข้มแข็งของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น จำเป็นที่ต้องเริ่มจากการสร้างความเข้มแข็งในระดับท้องถิ่นเป็นลำดับแรก โดยประชาชนและชุมชนที่อยู่ในท้องถิ่นต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการสร้างองค์ความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการเสริมสร้างอาชีพ และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ท้องถิ่น รัฐบาลจึงได้จัดทำ "ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด" และโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชนและชุมชนต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและชุมชนด้วยกระบวนการเรียนรู้และดำรงชีวิตตามแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข บนพื้นฐานของคุณธรรมความรู้และความเพียร ในขณะเดียวกันต้องการเสริมสร้างความสมดุลของกระบวนการพัฒนาที่สอดคล้องกับลักษณะภูมิสังคม สนับสนุนภาคเศรษฐกิจชุมชนควบคู่ไปกับการดูแลชุมชนที่ไม่พร้อมหรือผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ด้วยการจัดสวัสดิการให้ทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชุมชนต้องมิให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานในภูมิภาค รัฐบาลจึงได้เห็นชอบงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาทสำหรับดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชนและภาคประชาสังคม ให้ร่วมกันรับผิดชอบบริหารทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ
ระดับเศรษฐกิจระบบตลาด รัฐบาลถือเป็นหลักนโยบายที่จะให้กลไกการตลาดสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ภายใต้หลักคุณธรรมและการสร้างความเป็นธรรมในภาคเศรษฐกิจ และขจัดการดำเนินการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยรัฐบาลได้อาศัยกลไกการตลาดเสรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันด้วยความเป็นธรรม ในการพัฒนาอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การส่งออกและการท่องเที่ยว
รัฐบาลได้วางรากฐานให้การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมมีความสอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่พัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก พื้นที่ อ.มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมหนักของประเทศ และมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษทางอากาศนั้น ในระยะเร่งด่วน รัฐบาลโดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการลดและขจัดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยอง พ.ศ. 2550-2554 โดยจัดทำ แผนปฏิบัติการ 5 ปี ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2550 เป็นต้นไป ครอบคลุม 5 มาตรการหลัก คือ (1) ลดมลพิษทั้งในและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม (2) ติดตามและตรวจสอบระดับมลพิษ (3) ดูแลด้านสาธารณสุขและอนามัยของประชาชน (4) ศึกษาความสามารถในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่ในอนาคต และ (5) ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและตรวจสอบ
นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ระยะยาว และจัดตั้งกลไกบริหารจัดการ ที่ประกอบด้วย ภาครัฐ ประชาชน และผู้ประกอบการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ และรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ก็ได้ดำเนินการสร้างระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ภายใต้การมีส่วนร่วมของ 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สร้างระบบธรรมาภิบาลในองค์กร และตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย และจัดให้มีการศึกษาเตรียมการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลังงานของประเทศในอนาคต โดยกำหนดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของขีดความสามารถในการรองรับอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะมลภาวะและผลกระทบต่อสุขอนามัยของแรงงานและประชาชน และการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
ระดับเศรษฐกิจส่วนรวม รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ โดยได้ดำเนินการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจส่วนรวม และการจัดทำแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพแห่งชาติ โดยรัฐบาลได้ติดตามดูแลความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงินบาท และการเคลื่อนย้ายของเงินทุนนำเข้า เพื่อมิให้ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ตามที่ได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ในนโยบายรัฐบาลว่ารัฐบาลต้องการเน้นการขยายตัวอย่างมีคุณภาพของระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลก็ได้ผลักดันให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาตนเอง ด้วยการพัฒนาผลิตภาพที่เกิดจากภายในและร่วมมือกับภาครัฐอย่างบูรณาการ ซึ่งในการเพิ่มประสิทธิ ภาพระบบเศรษฐกิจบนฐานความรู้ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการสำคัญที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนา โดยการเร่งรัดทำแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา และแผนแม่บทการสร้างเสริมประสิทธิภาพแห่งชาติ เพื่อการวางรากฐานการยกระดับประสิทธิภาพไปพร้อมกับการพัฒนานวัตกรรม โดยได้เริ่มจากภาคอุตสาหกรรมเป็นลำดับแรก และจะขยายไปสู่ภาคการผลิตและบริการสาขาอื่น ๆ ในระยะต่อไป
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่สาม การดำเนินนโยบายทางสังคม รัฐบาลได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมให้เข้มแข็ง โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างความสมานฉันท์ ให้คนในชาติอยู่เย็นเป็นสุข บนพื้นฐานของคุณธรรม จากสาเหตุหลักในเรื่องความขัดแย้งของสังคม ซึ่งเป็นต้นเหตุโยงไปสู่ปัญหาการเมือง การเศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ รัฐบาลนี้จึงได้ดำเนินการเสริมสร้างความสมานฉันท์ในชาติโดยจัดทำแผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขซึ่งเน้นการสร้างสังคมไม่ทอดทิ้งกัน สังคมเข้มแข็ง และสังคมคุณธรรม รวมทั้งส่งเสริมการสร้างสังคมสันติสุขบนพื้นฐานวัฒนธรรมไทย ด้วยการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมทุกจังหวัด และเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาที่ยึดคุณธรรมนำความรู้ การสร้างจิตสำนึกและปรับพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมการจัดค่ายต่าง ๆ
สำหรับการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนนั้น รัฐบาลได้มุ่งพัฒนานโยบายหลักประกันสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และผลักดันการสร้างสมดุลของระบบบริการสุขภาพ ทั้งในด้านการเสริมสร้าง ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ ส่งเสริมการลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยงภายใต้โครงการหมู่บ้านสร้างเสริมสุขภาพชุมชนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้ง รัฐบาลยังได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ และประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณได้หลายพันล้านบาท
สำหรับการป้องกัน แก้ไขปัญหาสังคม และความเดือดร้อนของประชาชน รัฐบาลได้จัดทำยุทธศาสตร์ 5 ปี สร้างสวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2550 — 2554) และแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมไทยเพื่อชีวิตมั่นคง เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสังคมและความคุ้มครองสิทธิของผู้ด้อยโอกาส ในการดำเนินงานด้านการปฏิรูประบบยุติธรรมนั้น รัฐบาลได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างความเป็นธรรมในสังคม ด้านการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้โดยให้ชุมชนเป็นแกนหลักและกำลังพัฒนาระบบงานตำรวจให้โปร่งใส ตรวจสอบได้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้จัดทำ "แผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างสมานฉันท์" เพื่อมุ่งลดความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ มาตรการสำคัญที่ได้ดำเนินการ ได้แก่ การเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนำความรู้ การพัฒนาสุขภาวะของประชาชนให้ครอบคลุมทั้งมิติทางกาย จิตใจ และปัญญา โดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ การส่งเสริมกีฬาพื้นฐานและกีฬามวลชนเพื่อให้ประชาชนทุกระดับมีโอกาสเล่นกีฬาและออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ โดยการจัดให้มีสถานที่ออกกำลังกายทั้งในรูปลานกีฬาและสวนสุขภาพในทุกชุมชนกว่า 40,000 แห่ง ทั่วประเทศ ให้บริการประชาชนได้กว่า 7 ล้านคน นอกจากนี้ รัฐบาลได้มุ่งเน้นการป้องกันและแก้ปัญหาสังคม ยาเสพติด และความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดระบบสวัสดิการชุมชนให้เชื่อมโยงกับการจัดสวัสดิการสังคมของภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการสนับสนุนการแก้ปัญหา และฟื้นฟูชุมชนที่ประสบภัยพิบัติขึ้น เพื่อเป็นกลไกประสานงานดำเนินการใน 29 จังหวัด
รัฐบาลได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคม สถาบันครอบครัว ตลอดจนส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมไทย เช่น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์สร้างสวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2550-2554) แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมไทยเพื่อชีวิตมั่นคง แผนปฏิบัติการส่งเสริมสถาบันครอบครัว (พ.ศ.2550—2554) แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2550-2554 แผนคุณธรรม จริยธรรม เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนมีคุณธรรม เป็นต้น
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่สี่ การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินบทบาทเชิงรุกในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโลกมุสลิม และร่วมมือกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านมุสลิม ทั้งด้านการข่าวและการแลกเปลี่ยนข้อมูล การควบคุมพื้นที่แนวชายแดน โดยรัฐบาลได้ดำเนินยุทธศาสตร์ของไทยต่อองค์กรและประเทศสำคัญในโลกมุสลิม เพื่อสร้างพันธมิตรของไทยในโลกมุสลิม ควบคู่กับการส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและพลังงาน รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ในด้าน
ต่าง ๆ ควบคู่กับการสร้างความเข้าใจและยึดถือความปรอง ดองสมานฉันท์ของคนในชาติเป็นหลัก (เช่น การจัดฝึกอบรมการป้องกันไข้หวัดนกให้ประเทศสมาชิกองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) และสหภาพแอฟริกา (AU) การถ่ายทอดเทคโน โลยีการผลิตยาแผนปัจจุบันและการป้องกันโรคมาลาเรียและโรคเอดส์ให้แก่ประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตก การถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างฝนหลวงแก่ประเทศแทนซาเนีย เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินการเร่งส่งเสริมให้เกิดมิตรภาพและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และระหว่างภูมิภาค โดยความสัมพันธ์กับประเทศจีนนั้น รัฐบาลได้แลกเปลี่ยนการเยือนและเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้า การลงทุนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างกัน รวมทั้งรัฐบาลยังได้จัดทำข้อตกลงกับต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัย และการท่องเที่ยวกับประเทศบรูไน และดำเนินการทบทวนความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การเจรจาจัดทำสนธิสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางอาญา และการจัดทำบันทึกความตกลงระหว่างกันว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ กับประเทศฟิลิปปินส์ เป็นต้น
สำหรับการดำเนินบทบาทสร้างสรรค์ในกรอบสหประชาชาติและกรอบพหุภาคีอื่น ๆ นั้น รัฐบาลได้ทำความเข้าใจและชี้แจงเกี่ยวกับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นกับต่างประเทศ ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศเป็นที่ยอมรับมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนการมีส่วนร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ โดยส่งทหาร 7นาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในปฏิบัติการในเนปาลและในติมอร์-เลสเต ตามที่สหประชาชาติร้องขอ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 1740/2007 และเป็นการสานต่อบทบาทไทยในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
ด้านที่ห้า การดำเนินนโยบายด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายโดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อการป้องกันประเทศ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การจัดระบบแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการดำเนินการต่อผู้หลบหนีเข้าเมือง พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้มุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ ซึ่งให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงของรัฐ การพิทักษ์รักษาและการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การพัฒนาระบบการข่าว การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศด้านความมั่นคง การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเองทางทหาร เพื่อประหยัดงบประมาณจากการจัดหาอาวุธใหม่และลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ เป็นต้น
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
จากการดำเนินมาตรการตามนโยบายที่กำหนดไว้ ทำให้นานาประเทศมีความเข้าใจและเชื่อมั่น ต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยต่างก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่จะกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย และจะจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมในเดือนธันวาคม ศกนี้
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ เช่น หลังจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหภาพยุโรป ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ประเทศที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศไทยได้กลับมีท่าทีเข้าใจและรับฟังรัฐบาลไทย ทั้งเยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และคณะกรรมาธิการยุโรป นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ได้แสดงท่าทีเข้าใจไทยในระหว่างการประชุมเอเปคที่เวียดนามเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 และต่อมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจเข้าร่วมการฝึก Cobra Gold ประจำปี 2550 อย่างเช่นทุกปีที่ผ่านมา
สำหรับประเทศที่เคยมีท่าทีเย็นชาในสมัยรัฐบาลที่แล้วก็ได้หันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รวมทั้งการให้ความร่วมมือภายใต้กรอบต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่อนุภูมิภาคชายแดนในกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (IMT-GT) และยุทธศาสตร์ร่วมสำหรับการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย (JDS)
นอกจากนี้ การสานต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและมิตรประเทศก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ รวมทั้ง ยังได้เน้นส่งเสริมความสัมพันธ์บนพื้นฐานของคุณธรรมและความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ตามแนวนโยบาย 4 ป. มากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนอยู่เคียงข้างไทยมาโดยตลอด รวมทั้งญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าและมีการลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด ได้ให้การต้อนรับการเยือนของกระผมอย่างสมเกียรติและอบอุ่นในระหว่างวันที่ 2-5 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นและพร้อมที่จะรักษาและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนกับไทย
ส่วนของประชาคมระหว่างประเทศ พบว่า ประเทศไทยยังอยู่ในความสนใจของประชาคมอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมเยือนของผู้นำต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ และรัฐบาลยังได้เข้าร่วมการประชุมในกรอบความร่วมมือต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลต่างประเทศได้ให้การยอมรับรัฐบาลไทยและพร้อมจะสานต่อความร่วมมือในสาขาต่างๆ ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง การค้า การลงทุน และการพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันต่อไป
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
สำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไปของรัฐบาลนั้น รัฐบาลมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณ 6 เดือน สำหรับการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ดังนั้น การดำเนินงานช่วงต่อไป รัฐบาลจำเป็นต้องกำหนดจุดเน้นของการดำเนินการ เพื่อวางรากฐานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สามารถดำเนินการลุล่วงไปได้ในช่วงรัฐบาลนี้ โดยมี 6 เรื่องด้วยกัน ที่รัฐบาลจะ
เร่งดำเนินการในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
เรื่องที่หนึ่ง สนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญและสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง
การดำเนินการในระยะ 6 เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะเร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวร ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการจัดทำ พร้อมสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเรื่องประชาธิปไตย และรับฟังข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นการร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนตื่นตัวในการเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และดำเนินการให้สามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปได้ตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
เรื่องที่สอง ส่งเสริมความสมานฉันท์ในสังคม
รัฐบาลจะพยายามสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องและเต็มความสามารถ โดยอาศัยกระบวนการสมานฉันท์ต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาระบบการศึกษา โดยการจัดตั้ง "วิทยาลัยอิหม่าม" ขึ้นในจังหวัดยะลา โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงวัฒนธรรม
การจัดตั้ง "วิทยาลัยอิสลามศึกษานานาชาติ" ขึ้นภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ของกระทรวงศึกษาธิการ และการยกฐานะ "วิทยาลัยอิสลามยะลา" เป็น "มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา" ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของเอกชน รวมทั้งโครงการ "สานใจไทยสู่ใจใต้" และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ "เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้" เป็นต้น
เรื่องที่สาม ผูกมิตรและสร้างความสัมพันธ์บนผลประโยชน์ร่วมกัน
ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลจะเร่งสานต่อความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และลดปัญหาข้ามแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย และเตรียมการฟื้นฟูภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นในภูมิภาค รวมทั้งสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องกับมิตรประเทศมุสลิมสายกลาง เช่น มาเลเซียและสมาชิกองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) เกี่ยวกับแนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาภาคใต้และป้องกันไม่ให้ปัญหาภาคใต้ของไทยเป็นปัญหาสากล
เรื่องที่สี่ ส่งเสริมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลจะดำเนินการต่อเนื่องในการส่งเสริมยุทธศาสตร์ความอยู่ดีมีสุขทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด โดยในปี 2551 กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการส่งแผนและข้อเสนองบประมาณตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาในกลางเดือนมิถุนายน 2550 ซึ่งการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์จะได้มีการติดตามและประเมินผล เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการระดับชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป
แนวทางการทำงานในช่วงระยะเวลาที่เหลือประมาณ 6 เดือน รัฐบาลจะเร่งดำเนินการปฏิรูปการศึกษา เพื่อวางรากฐานการพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีคุณภาพ ยึดหลักคุณธรรมนำความรู้ และสามารถเป็นแรงงานสำคัญในการพัฒนาประเทศได้ในอนาคต พร้อมกับการพัฒนาให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยจะเร่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานด้านสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยารักษาโรคที่จำเป็น และระบบบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
โดยจะจัดทำแผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ และแผนพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขในสังคมไทยมากขึ้น
เรื่องที่ห้า ผลักดันระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพบนฐานความรู้และนวัตกรรม
รัฐบาลจะเร่งการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับและขยายผล แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา และ แผนแม่บทการสร้างเสริมประสิทธิภาพแห่งชาติ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยในภาคอุตสาหกรรมจะมีผู้ประกอบการใน 13 สาขาอุตสาหกรรม เข้าร่วมจำนวนมากกว่า 4,500 โรงงาน ในวงเงินงบประมาณ 1,100 ล้านบาท อันจะนำไปสู่การที่ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตัวเองในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระยะยาว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะได้เร่งรัดการดำเนินการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อไป โดยจะเร่งดำเนินการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก รวมทั้งขยายความร่วมมือด้านพลังงานกับต่างประเทศ เร่งรัดการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความมั่นคงและตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ การลงทุนในกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง การปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เหมาะสม เป็นธรรม สอดคล้องกับกลไกตลาดมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่หก การสร้างความมั่นใจให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและสมดุล
รัฐบาลจะเร่งรัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านทางนโยบายการคลัง ให้เกิดความสอดประสานกับนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ เร่งรัดหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจใช้จ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นหลักการบริหารประเทศในปัจจุบัน
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล รัฐบาลยังคงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ซึ่งรัฐบาลต้องขอความร่วมมือจากสมาชิกสภาทุกท่านในการดำเนินการดังกล่าวให้ลุล่วง เพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐมีความต่อเนื่อง โดยหลักการและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณประจำปี 2551 จะเป็นครั้งแรกที่การจัดทำงบประมาณได้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยส่วนราชการที่ขอตั้งงบประมาณจะต้องยึดหลักของความคุ้มค่า ความเหมาะสม และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 เห็นชอบการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณการ พ.ศ. 2551 จำนวน 1.635 ล้านล้านบาท รายได้ 1.515 ล้านล้านบาท ขาดดุล 120,000 ล้านบาท
ท่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และท่านสมาชิกผู้มีเกียรติที่เคารพ
รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักดีว่าในช่วงเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้ว และที่กำลังจะดำเนินการต่อไปหลายเรื่อง ได้ส่งผลดีในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สามารถที่จะบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันการดำเนินงานในอีกหลายเรื่องของรัฐบาลเป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตและยังไม่อาจจะส่งผลให้เป็นที่ประจักษ์ได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขและการปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการบนฐานของการใช้ความรู้ และนวัตกรรม แต่รัฐบาลของกระผมจะไม่ลังเลใจที่จะผลักดันสิ่งที่ดีเหล่านี้ ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยในระยะยาว และมีความเชื่อมั่นว่าการวางพื้นฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว จะได้รับการสืบทอดและดำเนินการอย่างต่อเนื่องในคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี คณะรัฐบาลชุดปัจจุบันและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะไม่สามารถผลักดันนโยบายที่ดีเหล่านี้ ไปสู่ผลสัมฤทธิ์และเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือ ร่วมใจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่า ความร่วมมือ ร่วมใจ จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการทำความเข้าใจร่วมกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก โดยการน้อมนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมของทุกฝ่าย อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อช่วยเสริมสร้างสังคมไทยให้มีความร่มเย็นเป็นสุขร่วมกันในระยะยาว รัฐบาลพร้อมที่จะรับข้อเสนอแนะจากท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติในที่นี้ เพื่อนำไปประกอบการดำเนินการบริหารประเทศ
แม้วาระของรัฐบาลจะเป็นเพียงการชั่วคราว และเป็นช่วงเวลาที่สั้น รัฐบาลมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ และได้ทุ่มเทในการดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความสุจริต และความจริงใจที่ต้องการเห็นความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นในสังคมไทย ให้คนไทยทุกคนได้รับโอกาสในสังคมตามที่พึงจะได้รับ และวางรากฐานที่มั่นคงให้สังคมมีความสมานฉันท์ เศรษฐกิจมีความยั่งยืน และการเมืองก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน
ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--