รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฉบับใหม่เป็นการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกิจการภาพยนตร์ เทป และวัสดุโทรทัศน์ เพื่อจัดระเบียบไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศให้มากที่สุด
นายสุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในรายการ “สายตรงทำเนียบ” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ถึงพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการว่า เป็นการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกิจการภาพยนตร์ เทป และวัสดุโทรทัศน์ เพื่อจัดระเบียบไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศให้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันเรามีรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี โดยมาจากที่ต่างประเทศขออนุญาตมาถ่ายทำภาพยนตร์ สารคดี โฆษณา มิวสิควิดีโอ หรือตัดต่อฟิล์มภาพยนตร์ เป็นต้น รวมถึงรายได้ที่สามารถตีค่าเป็นตัวเงินได้ คือ เมื่อภาพยนตร์ที่ไปฉายทั่วโลกได้เผยแพร่สถานที่ หรือวัฒนธรรมประเพณีอันมีงาม คุณค่าของความเป็นไทย ได้เผยแพร่ให้ชาวโลกได้เห็นโดยที่เราไม่ต้องลงทุนใด ๆ เลย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในส่วนการออกใบอนุญาตการสร้างภาพยนตร์ของต่างประเทศที่มาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยนั้น จะต้องมีการขออนุญาตไปยังสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยให้ส่งอีเมล์ขออนุญาตเข้ามายังจุดบริการจุดเดียว ซึ่งมี 4 กระทรวงหลักที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงาน จากนั้นคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ จะพิจารณาในส่วนเฉพาะที่ภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย หากเป็นสารคดีสั้น โฆษณา วีดิโอ มิวสิควีดิโอ จะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 วัน แต่หากเป็นภาพยนตร์ยาวจะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ จะมีการควบคุมการถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศไทย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย เช่น หากพบการแอบเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ สารคดี หรืออื่นๆ ในประเทศ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 1 ล้านบาท
ด้านนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้เป็นการปรับปรุงกฎหมายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้ทันต่อยุคสมัย เนื่องจากพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับเดิมใช้มาตั้งแต่ปี 2473 ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทป และวัสดุโทรทัศน์ ก็ใช้มาตั้งแต่ปี 2530 รวมทั้งเพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนในการควบคุมดูแลด้านภาพยนตร์ ซีดี เกม คาราโอเกะ ที่ปัจจุบันมีกฎหมายแยกบังคับใช้อยู่หลายฉบับ และจะมีการจัดเรตติ้งแทนการเซ็นเซอร์ ซึ่งเรตติ้งจะมีข้อดีที่ภาพยนตร์ไม่ถูกตัดฉากสำคัญ ทำให้เนื้อหาไม่สะดุด ขณะเดียวกันผู้ประกอบการภาพยนตร์ก็มีโอกาสทำภาพยนตร์โดยพิจารณาจากรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใหม่ นอกจากนี้จะมีการควบคุมภาพยนตร์ที่ขัดต่อศีลธรรม การควบคุมอายุของผู้ชมภาพยนตร์แต่ละประเภท รวมถึงภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรง ลามกอนาจารจะไม่อนุญาตให้ฉายในประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเด็ก เยาวชนไทย
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจะมีคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ รวมไปถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ การกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ไทยกับภาพยนตร์ต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตเพิ่มขึ้น ส่วนคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ จะมีหน้าที่ในการพิจารณาเนื้อหาของภาพยนตร์ การอนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย เป็นต้น
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
นายสุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในรายการ “สายตรงทำเนียบ” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ถึงพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการว่า เป็นการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกิจการภาพยนตร์ เทป และวัสดุโทรทัศน์ เพื่อจัดระเบียบไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศให้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันเรามีรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี โดยมาจากที่ต่างประเทศขออนุญาตมาถ่ายทำภาพยนตร์ สารคดี โฆษณา มิวสิควิดีโอ หรือตัดต่อฟิล์มภาพยนตร์ เป็นต้น รวมถึงรายได้ที่สามารถตีค่าเป็นตัวเงินได้ คือ เมื่อภาพยนตร์ที่ไปฉายทั่วโลกได้เผยแพร่สถานที่ หรือวัฒนธรรมประเพณีอันมีงาม คุณค่าของความเป็นไทย ได้เผยแพร่ให้ชาวโลกได้เห็นโดยที่เราไม่ต้องลงทุนใด ๆ เลย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในส่วนการออกใบอนุญาตการสร้างภาพยนตร์ของต่างประเทศที่มาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยนั้น จะต้องมีการขออนุญาตไปยังสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยให้ส่งอีเมล์ขออนุญาตเข้ามายังจุดบริการจุดเดียว ซึ่งมี 4 กระทรวงหลักที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงาน จากนั้นคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ จะพิจารณาในส่วนเฉพาะที่ภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย หากเป็นสารคดีสั้น โฆษณา วีดิโอ มิวสิควีดิโอ จะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 วัน แต่หากเป็นภาพยนตร์ยาวจะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ จะมีการควบคุมการถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศไทย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย เช่น หากพบการแอบเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ สารคดี หรืออื่นๆ ในประเทศ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 1 ล้านบาท
ด้านนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้เป็นการปรับปรุงกฎหมายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้ทันต่อยุคสมัย เนื่องจากพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับเดิมใช้มาตั้งแต่ปี 2473 ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทป และวัสดุโทรทัศน์ ก็ใช้มาตั้งแต่ปี 2530 รวมทั้งเพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนในการควบคุมดูแลด้านภาพยนตร์ ซีดี เกม คาราโอเกะ ที่ปัจจุบันมีกฎหมายแยกบังคับใช้อยู่หลายฉบับ และจะมีการจัดเรตติ้งแทนการเซ็นเซอร์ ซึ่งเรตติ้งจะมีข้อดีที่ภาพยนตร์ไม่ถูกตัดฉากสำคัญ ทำให้เนื้อหาไม่สะดุด ขณะเดียวกันผู้ประกอบการภาพยนตร์ก็มีโอกาสทำภาพยนตร์โดยพิจารณาจากรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใหม่ นอกจากนี้จะมีการควบคุมภาพยนตร์ที่ขัดต่อศีลธรรม การควบคุมอายุของผู้ชมภาพยนตร์แต่ละประเภท รวมถึงภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรง ลามกอนาจารจะไม่อนุญาตให้ฉายในประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเด็ก เยาวชนไทย
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจะมีคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ รวมไปถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ การกำหนดสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ไทยกับภาพยนตร์ต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตเพิ่มขึ้น ส่วนคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ จะมีหน้าที่ในการพิจารณาเนื้อหาของภาพยนตร์ การอนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย เป็นต้น
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--