วันนี้ เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประเสริฐ รัตนกาฬ อุปนายกสมาคมนายทหารนอกประจำการ นำผู้แทนสมาคม ชมรม ผู้รับบำนาญ 10 สมาคม รวม 12 คน เข้าพบ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นข้อเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้รับบำนาญ โดยมีนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เข้าร่วมด้วย
อุปนายกสมาคมนายทหารนอกประจำการ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ที่ได้มีมติปรับเงินช่วยเหลือการครองชีพข้าราชการบำนาญ ในอัตราร้อยละ 4 พร้อมกล่าวให้กำลังใจในการทำงานแก่นายกรัฐมนตรี โดยขอให้นายกรัฐมนตรีทำงานบริหารประเทศให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอจากคณะสมาคมนายทหารนอกประจำการ แล้วกล่าวว่านายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเกณฑ์การรับเบี้ยหวัดบำนาญด้วย โดยข้อเสนอทั้งหมดนี้รัฐบาลจะรับไปพิจารณา โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังหาแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงระบบการเงินการคลังของประเทศไทยในขณะนี้ว่า หากนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาแล้วก็พบว่าเรายังลำบาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า พื้นฐานที่สำคัญที่ควรจะต้องเร่งปรับแก้คือ การแก้ไขปัญหาด้านการเมืองซึ่งเป็นปัญหาหลัก โดยหากทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ ก็จะทำให้ประเทศมีความก้าวหน้า มีเสถียรภาพและมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้
ทั้งนี้ คณะสมาคมนายทหารนอกประจำการ ได้จัดทำข้อเสนอเพื่อขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลสรุปสาระสำคัญ 3 ข้อ คือ 1. การแก้ปัญหาผู้รับบำนาญที่สูงอายุมาก ๆ เห็นควรพิจารณาจ่ายเงินจากเงินบำเหน็จดำรงชีพส่วนที่เหลือ ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2546 มาตรา 47/1 ที่ได้จ่ายให้ไปแล้ว และยังมีเงินบำเหน็จดำรงชีพเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้รับบำนาญ ให้ผู้รับบำนาญมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไม่เป็นการสร้างภาระงบประมาณให้แก่รัฐบาล 2. ควรจัดวางระบบการตราพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจ แทนการปรับตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการประจำ 3. ควรมีการแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ 257 (พ.ศ. 2549) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร โดยให้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและบำนาญพิเศษที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
อุปนายกสมาคมนายทหารนอกประจำการ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ ที่ได้มีมติปรับเงินช่วยเหลือการครองชีพข้าราชการบำนาญ ในอัตราร้อยละ 4 พร้อมกล่าวให้กำลังใจในการทำงานแก่นายกรัฐมนตรี โดยขอให้นายกรัฐมนตรีทำงานบริหารประเทศให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอจากคณะสมาคมนายทหารนอกประจำการ แล้วกล่าวว่านายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเกณฑ์การรับเบี้ยหวัดบำนาญด้วย โดยข้อเสนอทั้งหมดนี้รัฐบาลจะรับไปพิจารณา โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังหาแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงระบบการเงินการคลังของประเทศไทยในขณะนี้ว่า หากนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาแล้วก็พบว่าเรายังลำบาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า พื้นฐานที่สำคัญที่ควรจะต้องเร่งปรับแก้คือ การแก้ไขปัญหาด้านการเมืองซึ่งเป็นปัญหาหลัก โดยหากทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ ก็จะทำให้ประเทศมีความก้าวหน้า มีเสถียรภาพและมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้
ทั้งนี้ คณะสมาคมนายทหารนอกประจำการ ได้จัดทำข้อเสนอเพื่อขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลสรุปสาระสำคัญ 3 ข้อ คือ 1. การแก้ปัญหาผู้รับบำนาญที่สูงอายุมาก ๆ เห็นควรพิจารณาจ่ายเงินจากเงินบำเหน็จดำรงชีพส่วนที่เหลือ ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2546 มาตรา 47/1 ที่ได้จ่ายให้ไปแล้ว และยังมีเงินบำเหน็จดำรงชีพเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้รับบำนาญ ให้ผู้รับบำนาญมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไม่เป็นการสร้างภาระงบประมาณให้แก่รัฐบาล 2. ควรจัดวางระบบการตราพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจ แทนการปรับตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการประจำ 3. ควรมีการแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ 257 (พ.ศ. 2549) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร โดยให้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและบำนาญพิเศษที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--