วันนี้ เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันคล้ายวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 75 พร้อมมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมี คณะรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสำนักนายกรัฐมนตรี ข้าราชการผู้ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน
เมื่อ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และถวายตาลปัตรแด่พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลและเจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์สวดอนุโมทนา นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำ จากนั้น ประธานสงฆ์ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบ 75 ปี ให้กับนายกรัฐมนตรี
นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงาน ว่า สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อเป็นการระลึกถึงวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการบริหารงานของนายกรัฐมนตรีและเป็นวันเริ่มปฏิบัติงานของหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของนายกรัฐมนตรี โดยให้จัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การรับบริจาคโลหิต การจัดพิธีสงฆ์ และพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา แก่ข้าราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับพระราชทานในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปีพุทธศักราช 2549
โดยในปีนี้ผู้เข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญจักรพรรดิมาลา รวมทั้งสิ้น 140 ราย แยกตามลำดับดังนี้ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก 41 ราย ทวีติยาภรณ์มงกฎไทย 57 ราย เหรียญจักรพรรดิมาลา 42 ราย
โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการผู้ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และและเหรียญจักรพรรดิมาลา โดยเรียงตามลำดับบุคคลและตามลำชั้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับ พร้อมกล่าวให้โอวาท ว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสอัญเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้แก่ข้าราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปีพุทธศักราช 2549 มามอบให้แก่ข้าราชการ ในโอกาสวันสำคัญคล้ายวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 75 ในวันนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นบำเหน็จความชอบที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานให้แก่ผู้ที่ได้กระทำคุณงามความดีความชอบที่เป็นประโยชน์ต่อราชการโดยส่วนรวม โดยเฉพาะข้าราชการ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นข้าในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ต้องทำงานแทนพระเนตรพระกรรณ อันเป็นงานของพระราชาทั้งสิ้น จึงเป็นผู้ที่สมควรได้รับบำเหน็จความชอบนี้ และถือว่าเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของข้าราชการทุกคนที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่าง ๆ
ในปีพุทธศักราช 2550 ซึ่งถือเป็นปีมหามงคลวาระอีกครั้งหนึ่งที่บรรดาข้าราชการและปวงชนชาวไทยจักได้ร่วมกัน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา นับจากปีที่ผ่านมาซึ่งพสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ด้วยความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาแล้ว และในโอกาสอันสำคัญยิ่งนี้ สมควรที่ข้าราชการทุกคนจะได้ยึดมั่นการทำงานตามรอยพระยุคลบาท สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชาติบ้านเมืองสืบต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยของได้เกิดภาวะวิกฤติที่ส่งผลให้ประชาชนประสบความเดือดร้อนในหลายๆ ด้าน ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องมีนโยบายนำพาประเทศไปสู่ทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคมและชุมชนมากขึ้น และหนึ่งในนโยบายเหล่านั้นก็คือ การสนับสนุนให้ประชาชนมีความสุขจากการดำรงชีพด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปสู่วิถีชีวิต การทำงานและรวมไปถึงการปฏิบัติราชการด้วย โดยเฉพาะในส่วนของราชการนั้น ได้เน้นการส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีกระบวนทัศน์ วัฒนธรรมและค่านิยมที่ยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี มีความโปร่งใส เป็นธรรม ประหยัดและมีประสิทธิภาพ และหวังว่าเพื่อนข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรีจะร่วมกันยึดถือในสิ่งเหล่านี้และนำไปปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคคลทั่วไป
นอกจากนี้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนา พร้อมทั้งสามารถนำไปปฏิบัติทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบได้คือความเป็นธรรม มีภูมิคุ้มกัน และมีพฤติกรรมในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการนำธรรมมาใช้ในการปฏิบัติตนและปฏิบัติงานอีกแล้ว
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำว่า ข้าราชการเป็นกำลังสำคัญของชาติ จึงขอให้ข้าราชการทุกคนได้มุ่งมั่นทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ และให้บริการประชาชนด้วยความรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ ในขณะเดียวกัน ก็ไม่หลงไปตามกระแสโลกาภิวัตน์และคำนึงถึงประโยชน์ตามสภาพความเป็นจริงของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งให้มีความรักความเมตตาที่จะช่วยเหลือสังคมให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ และรวมพลังกันด้วยความสามัคคีเป็นหมู่เหล่า เพื่อขจัด ข้อขัดแย้ง นำไปสู่ความประนีประนอมและผลประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวมตลอดไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และถวายตาลปัตรแด่พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลและเจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์สวดอนุโมทนา นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำ จากนั้น ประธานสงฆ์ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบ 75 ปี ให้กับนายกรัฐมนตรี
นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงาน ว่า สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อเป็นการระลึกถึงวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการบริหารงานของนายกรัฐมนตรีและเป็นวันเริ่มปฏิบัติงานของหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของนายกรัฐมนตรี โดยให้จัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การรับบริจาคโลหิต การจัดพิธีสงฆ์ และพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา แก่ข้าราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับพระราชทานในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปีพุทธศักราช 2549
โดยในปีนี้ผู้เข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญจักรพรรดิมาลา รวมทั้งสิ้น 140 ราย แยกตามลำดับดังนี้ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก 41 ราย ทวีติยาภรณ์มงกฎไทย 57 ราย เหรียญจักรพรรดิมาลา 42 ราย
โอกาสนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการผู้ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และและเหรียญจักรพรรดิมาลา โดยเรียงตามลำดับบุคคลและตามลำชั้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับ พร้อมกล่าวให้โอวาท ว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสอัญเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้แก่ข้าราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปีพุทธศักราช 2549 มามอบให้แก่ข้าราชการ ในโอกาสวันสำคัญคล้ายวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 75 ในวันนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นบำเหน็จความชอบที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานให้แก่ผู้ที่ได้กระทำคุณงามความดีความชอบที่เป็นประโยชน์ต่อราชการโดยส่วนรวม โดยเฉพาะข้าราชการ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นข้าในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ต้องทำงานแทนพระเนตรพระกรรณ อันเป็นงานของพระราชาทั้งสิ้น จึงเป็นผู้ที่สมควรได้รับบำเหน็จความชอบนี้ และถือว่าเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของข้าราชการทุกคนที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่าง ๆ
ในปีพุทธศักราช 2550 ซึ่งถือเป็นปีมหามงคลวาระอีกครั้งหนึ่งที่บรรดาข้าราชการและปวงชนชาวไทยจักได้ร่วมกัน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา นับจากปีที่ผ่านมาซึ่งพสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ด้วยความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาแล้ว และในโอกาสอันสำคัญยิ่งนี้ สมควรที่ข้าราชการทุกคนจะได้ยึดมั่นการทำงานตามรอยพระยุคลบาท สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชาติบ้านเมืองสืบต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยของได้เกิดภาวะวิกฤติที่ส่งผลให้ประชาชนประสบความเดือดร้อนในหลายๆ ด้าน ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องมีนโยบายนำพาประเทศไปสู่ทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคมและชุมชนมากขึ้น และหนึ่งในนโยบายเหล่านั้นก็คือ การสนับสนุนให้ประชาชนมีความสุขจากการดำรงชีพด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปสู่วิถีชีวิต การทำงานและรวมไปถึงการปฏิบัติราชการด้วย โดยเฉพาะในส่วนของราชการนั้น ได้เน้นการส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีกระบวนทัศน์ วัฒนธรรมและค่านิยมที่ยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี มีความโปร่งใส เป็นธรรม ประหยัดและมีประสิทธิภาพ และหวังว่าเพื่อนข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรีจะร่วมกันยึดถือในสิ่งเหล่านี้และนำไปปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคคลทั่วไป
นอกจากนี้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมทางศาสนา พร้อมทั้งสามารถนำไปปฏิบัติทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบได้คือความเป็นธรรม มีภูมิคุ้มกัน และมีพฤติกรรมในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการนำธรรมมาใช้ในการปฏิบัติตนและปฏิบัติงานอีกแล้ว
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำว่า ข้าราชการเป็นกำลังสำคัญของชาติ จึงขอให้ข้าราชการทุกคนได้มุ่งมั่นทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ และให้บริการประชาชนด้วยความรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ ในขณะเดียวกัน ก็ไม่หลงไปตามกระแสโลกาภิวัตน์และคำนึงถึงประโยชน์ตามสภาพความเป็นจริงของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งให้มีความรักความเมตตาที่จะช่วยเหลือสังคมให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ และรวมพลังกันด้วยความสามัคคีเป็นหมู่เหล่า เพื่อขจัด ข้อขัดแย้ง นำไปสู่ความประนีประนอมและผลประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวมตลอดไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--