แท็ก
ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม
สุรยุทธ์ จุลานนท์
กรมการขนส่งทางบก
ทำเนียบรัฐบาล
ตึกสันติไมตรี
นายกรัฐมนตรี
วันนี้ เวลา 14.00 น.ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดยะลาที่ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลในเรื่องความปลอดภัยว่า อีกไม่กี่วันนี้จะเดินทางลงไปเยี่ยมเยียน และไปรับฟังปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาในส่วนที่รัฐบาลสามารถดำเนินการให้ได้ เพราะคงเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของพี่น้องคนไทยมากที่สุดต่อกรณีที่เกิดขึ้นที่มีการทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางต่อสู้ใด ๆ เลย และคิดว่าไม่ควรจะอยู่ในวิสัยของคนไทย คนไทยถ้าจะทำก็คงทำในส่วนที่มีเหตุผลมากกว่านี้ ไม่ได้เป็นการแสดงความโหดเหี้ยม แสดงความไร้มนุษยธรรมในลักษณะที่สังหารผู้หญิง
ต่อข้อถามว่า ผู้ก่อการไม่สงบพยายามให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม นายกรัฐมนตรีกังวลหรือไม่ว่าถึงเวลาชาวบ้านต้องจับอาวุธสู้กัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากให้ถึงวันนั้น ไม่อยากเห็นคนไทยต้องมาปะทะกันและฆ่ากันเอง ทำสิ่งใดที่สามารถจะช่วยกันเจรจาได้ ทำความเข้าใจกันได้ ตรงนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และหวังว่ามีคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจแล้วหาทางที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้กันอยู่ แน่นอนว่าผลกระทบที่เขาพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ สร้างความเคียดแค้นให้เกิดขึ้น แล้วในที่สุดจะเกิดความรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องระมัดระวัง และต้องหาทางที่จะแก้ไข คลี่คลายให้ได้
ต่อข้อถามว่า มีชาวบ้านบอกว่านโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาลใช้ไม่ได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของนโยบายของรัฐบาล เราไม่ได้โอนอ่อนตามสิ่งใดเลย การแก้ไขปัญหาคือการหาทางเจรจาพูดกันโดยสันติวิธี อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าหาทางแก้ไขโดยที่ไม่ต้องใช้กำลัง ใครที่ใช้กำลัง เราไม่ได้อยากเจรจาด้วย ก็คงใช้มาตรการทางกฎหมายที่จะดำเนินการ นั่นเป็นสิ่งที่ได้ชี้แจงตั้งแต่ต้นว่า การแก้ไขปัญหานั้น เราจะเจรจาเฉพาะผู้ที่อยากจะเจรจาเท่านั้น ใครที่ไม่อยากเจรจา ใครที่ใช้กำลัง เราก็ต้องใช้กฎหมายเข้าไปดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีการเจรจาเกิดขึ้นหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเจรจานั้น ไม่ได้เน้นไปที่กลุ่ม แต่เน้นไปที่การทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่ภาคใต้ในสัปดาห์หน้า หวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในส่วนของทางการทหาร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของการปฏิบัติการในพื้นที่ แต่สิ่งที่จะลงไปดู ในเรื่องของขวัญและกำลังใจของพี่น้องประชาชน การที่จะหาทางแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ในส่วนที่สองหลังจากนั้นก็คือ ในส่วนของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ภายใต้การดูแลของตนเอง ซึ่งจะลงไปดูในส่วนนี้ว่ามีความต้องการอะไรบ้างที่จำเป็น และจะลงไปพร้อมกับพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ฯ เพื่อให้งานในความรับผิดชอบของเรานั้น สามารถดำเนินไปได้
“อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า ตำรวจขาดอัตราทั้งในส่วนของนายตำรวจชั้นประทวน และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรค่อนข้างมาก จำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นมา เพราะไม่เช่นนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในบริเวณตัวเมือง ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นหน้าที่ของทางตำรวจที่จะต้องดำเนินการ ตำรวจก็มีกำลังไม่พอ เราจะหาทางแก้ไข ตรงนี้เป็นส่วนที่จะลงไปดู และหาทางแก้ไขร่วมกับพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ฯ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการคุมกำเนิดแนวร่วมในเรื่องนี้อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยกำลังดำเนินการอยู่ในส่วนนี้ ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ดำเนินการอยู่อีกส่วนหนึ่ง กระทรวงแรงงานก็ดำเนินการอยู่อีกส่วนหนึ่ง คงมีหลายๆ กระทรวงที่ดำเนินการ กระทรวงสาธารณสุขเองก็ดำเนินการอยู่ในการการที่จะเปิดรับสมัครเยาวชนเข้ามาเป็นพยาบาลในท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการ คิดว่าปัญหาในเรื่องการที่จะทำความเข้าใจปัญหาที่แก้ไข ในที่สุดแล้วก็หนีปัญหาในเรื่องของการให้การศึกษาไปไม่ได้ การให้การศึกษาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนเรามองภาพต่างๆ มีวิจารณญาณที่ดีขึ้น มีเหตุผลขึ้น ไม่ใช่การศึกษาที่อ่อนด้อยและถูกชักจูงได้ง่าย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ต่อข้อถามว่า ผู้ก่อการไม่สงบพยายามให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม นายกรัฐมนตรีกังวลหรือไม่ว่าถึงเวลาชาวบ้านต้องจับอาวุธสู้กัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากให้ถึงวันนั้น ไม่อยากเห็นคนไทยต้องมาปะทะกันและฆ่ากันเอง ทำสิ่งใดที่สามารถจะช่วยกันเจรจาได้ ทำความเข้าใจกันได้ ตรงนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และหวังว่ามีคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจแล้วหาทางที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้กันอยู่ แน่นอนว่าผลกระทบที่เขาพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ สร้างความเคียดแค้นให้เกิดขึ้น แล้วในที่สุดจะเกิดความรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องระมัดระวัง และต้องหาทางที่จะแก้ไข คลี่คลายให้ได้
ต่อข้อถามว่า มีชาวบ้านบอกว่านโยบายสมานฉันท์ของรัฐบาลใช้ไม่ได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของนโยบายของรัฐบาล เราไม่ได้โอนอ่อนตามสิ่งใดเลย การแก้ไขปัญหาคือการหาทางเจรจาพูดกันโดยสันติวิธี อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าหาทางแก้ไขโดยที่ไม่ต้องใช้กำลัง ใครที่ใช้กำลัง เราไม่ได้อยากเจรจาด้วย ก็คงใช้มาตรการทางกฎหมายที่จะดำเนินการ นั่นเป็นสิ่งที่ได้ชี้แจงตั้งแต่ต้นว่า การแก้ไขปัญหานั้น เราจะเจรจาเฉพาะผู้ที่อยากจะเจรจาเท่านั้น ใครที่ไม่อยากเจรจา ใครที่ใช้กำลัง เราก็ต้องใช้กฎหมายเข้าไปดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีการเจรจาเกิดขึ้นหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเจรจานั้น ไม่ได้เน้นไปที่กลุ่ม แต่เน้นไปที่การทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่ภาคใต้ในสัปดาห์หน้า หวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในส่วนของทางการทหาร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของการปฏิบัติการในพื้นที่ แต่สิ่งที่จะลงไปดู ในเรื่องของขวัญและกำลังใจของพี่น้องประชาชน การที่จะหาทางแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ในส่วนที่สองหลังจากนั้นก็คือ ในส่วนของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ภายใต้การดูแลของตนเอง ซึ่งจะลงไปดูในส่วนนี้ว่ามีความต้องการอะไรบ้างที่จำเป็น และจะลงไปพร้อมกับพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ฯ เพื่อให้งานในความรับผิดชอบของเรานั้น สามารถดำเนินไปได้
“อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า ตำรวจขาดอัตราทั้งในส่วนของนายตำรวจชั้นประทวน และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรค่อนข้างมาก จำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นมา เพราะไม่เช่นนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในบริเวณตัวเมือง ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นหน้าที่ของทางตำรวจที่จะต้องดำเนินการ ตำรวจก็มีกำลังไม่พอ เราจะหาทางแก้ไข ตรงนี้เป็นส่วนที่จะลงไปดู และหาทางแก้ไขร่วมกับพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ฯ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการคุมกำเนิดแนวร่วมในเรื่องนี้อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยกำลังดำเนินการอยู่ในส่วนนี้ ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ดำเนินการอยู่อีกส่วนหนึ่ง กระทรวงแรงงานก็ดำเนินการอยู่อีกส่วนหนึ่ง คงมีหลายๆ กระทรวงที่ดำเนินการ กระทรวงสาธารณสุขเองก็ดำเนินการอยู่ในการการที่จะเปิดรับสมัครเยาวชนเข้ามาเป็นพยาบาลในท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการ คิดว่าปัญหาในเรื่องการที่จะทำความเข้าใจปัญหาที่แก้ไข ในที่สุดแล้วก็หนีปัญหาในเรื่องของการให้การศึกษาไปไม่ได้ การให้การศึกษาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนเรามองภาพต่างๆ มีวิจารณญาณที่ดีขึ้น มีเหตุผลขึ้น ไม่ใช่การศึกษาที่อ่อนด้อยและถูกชักจูงได้ง่าย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--