องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกโรงเตือนว่า ประชาชนที่อาศัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีโอกาสเผชิญกับภัยธรรมชาติมากกว่าในแอฟริกา 4 เท่า และมากกว่าในยุโรปหรืออเมริกาเหนือถึง 25 เท่า
โดยรายงานภัยพิบัติในเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2553 (Asia-Pacific Disaster Report 2010) ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นฉบับแรก ระบุว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีตัวเลขจีดีพีร้อยละ 25 ของจีดีพีทั่วโลก แต่ภูมิภาคดังกล่าวก็มีสัดส่วนการเสียชีวิตถึงร้อยละ 85 และมีความเสียหายทางเศรษฐกิจร้อยละ 38 ของทั้งหมดทั่วโลก อันเป็นผลมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
รายงานดังกล่าวชี้ว่าภัยพิบัติมีความเกี่ยวข้องกับความยากจน โดยความเสียหายจากภัยพิบัติส่งผลให้เกิดความยากจน และความยากจนก็ทำให้ความเสียหายจากภัยพิบัติย่ำแย่กว่าเดิม นอกจากนี้ ความยากจนยังเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นยูเอ็นจึงเน้นย้ำว่ายุทธศาสตร์การลดความเสี่ยงภัยพิบัติในอนาคตควรมีกรอบการพัฒนาที่ครอบคลุม และมีการจัดสรรงบประมาณอย่างเท่าเทียมกันในทุกภาคส่วน
"หากไม่มีการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน ประชาชนที่เผชิญภัยพิบัติเป็นประจำก็จะยากจนต่อไปและยิ่งรับมือกับภัยพิบัติได้แย่ลง" โนลีน เฮย์เซอร์ เลขาธิการผู้บริหารคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ของยูเอ็น กล่าวในการแถลงร่วมกับ มาร์การีตา วอห์ลสตรอม ผู้แทนพิเศษด้านการลดความเสี่ยงภัยพิบัติของยูเอ็น
ทั้งนี้ ESCAP และสำนักงานว่าด้วยกลยุทธ์ระหว่างประเทศเพื่อการลดภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNISDR) รวบรวมรายงานนี้ขึ้นเนื่องจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกขาดการประเมินภัยพิบัติอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ภูมิภาคแห่งนี้เกิดภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และภูเขาไฟระเบิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนั้นยังต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วย สำนักข่าวเกียวโดรายงาน