ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า พื้นที่ลุ่มน้ำชี สถานการณ์น้ำของ จ.ชัยภูมิ เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว โดยปัจจุบัน ปริมาณน้ำหลากสูงสุดอยู่ที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น และคาดว่า ปริมาณน้ำหลากสูงสุดจะไหลไปถึง จ.ยโสธรในวันที่ 6 พ.ย.53 และจะถึง จ.อุบลราชธานี ประมาณวันที่ 8-9 พ.ย.53
พื้นที่ลุ่มน้ำมูล สถานการณ์น้ำของจังหวัดนครราชสีมา ปริมาณน้ำในอำเภอต่างๆเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ปริมาณน้ำหลากสูงสุดอยู่ที่ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ คาดว่า ปริมาณน้ำหลากสูงสุดจะถึงอุบลราชธานีในวันที่ 3 พ.ย.53
ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.53 เป็นต้นไป ระดับน้ำท่วมที่อุบลราชธานีจะสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 50 ซม. จนถึงวันที่ 9 พ.ย.53 ปริมาณน้ำจากลุ่มน้ำชีจะลงมาสมทบ ทำให้ระยะเวลาการท่วมจะยาวนานออกไปบ้าง หลังจากนั้น ระดับน้ำท่วมจะทรงตัวและจะค่อยๆลดลงจนกลับสู่สภาวะปกติภายในสิ้นเดือน พ.ย.53
ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและเตรียมรับสถานการณ์ในช่วงวันดังกล่าวไว้ด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ อ.วารินชำราบ ที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ เมื่อวันที่ 28 ต.ค.53 กรมทรัพยากรน้ำได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานอุทกภัยเฉพาะกิจล่วงหน้ากรมทรัพยากรน้ำ จังหวัดอุบลราชธานี และได้ประสานงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด นำเครื่องสูบน้ำ จำนวน 50 เครื่อง ไปติดตั้งที่แก่งตะนะ เพื่อสูบผลักดันน้ำมูลให้ลงแม่น้ำโขงได้เร็วขึ้น
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบัน ปริมาณฝนตอนบนของประเทศลดลง ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลมาจากภาคเหนือผ่าน จ.นครสวรรค์ น้อยลง แต่ปริมาณน้ำจากลุ่มน้ำสะแกกรังยังมากอยู่ ทำให้ผันน้ำออกทุ่งตะวันตกได้น้อย ส่วนปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลดลง ทำให้สามารถผันน้ำออกทุ่งตะวันออกได้มากขึ้น จึงทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่าน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีน้ำล้นตลิ่งท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำในเขตจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร(บางส่วน) และสมุทรปราการ คาดว่า พื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำจะสามารถเข้าสู่สภาวะปกติได้ในกลางเดือนพ.ย.นี้
จากการระบายน้ำในปัจจุบัน คาดว่า ระดับน้ำในวันที่น้ำทะเลหนุนสูง วันที่ 8 พ.ย.53 ที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ ระดับน้ำจะอยู่ที่ 1.96 ม. ต่ำกว่าแนวป้องกันของกรุงเทพฯ 0.54 ม.