นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน คาดว่าประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน สถานการณ์น้ำท่วมจะดีขึ้น และกลางเดือนธันวาคม น่าจะเข้าสู่สภาวะปกติ ยกเว้นสภาพภูมิประเทศที่เป็นที่ลุ่มต่ำอาจจะมีน้ำขังอยู่ ซึ่งจะนำเครื่องสูบน้ำเข้าไปช่วยเหลืออีกครั้งหนึ่ง
สำหรับสถานการณ์น้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปัจจุบัน น้ำมวลใหญ่ที่สุดขณะนี้อยู่ที่ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และอยู่ระหว่างอำเภอเมือง จ.อุบลราชธานี ซึ่งจะเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เข้าสู่ตัวเมืองอุบลราชธานี กรมชลประทานยืนยันตามที่ได้คำนวณไว้เดิมว่า ปริมาณน้ำสูงสุดที่ผ่าน อ.เมืองอุบลราชธานี ณ จุดสถานีวัดน้ำฯ ที่เชิงสะพานฝั่งวาริน ในวันที่สูงที่สุดจะไม่เกิน 30-40 เซนติเมตรแน่นอน
ดังนั้น ที่มีกระแสข่าวออกมาว่าระดับน้ำจะสูงจนล้นตลิ่งฝั่งวาริน ก็จะเป็นการไหลลงสู่ที่ลุ่มต่ำหรือทางผ่านของน้ำ ที่เคยผ่านประจำอยู่แล้ว ซึ่งหากถ้าเปรียบเทียบปีที่แล้วตรงฝั่งวารินจะล้นตลิ่งประมาณ 80 เซนติเมตร จะเห็นว่าปี 2553 นี้ มีการดูแลจัดการจากประสบการณ์ที่ผ่านมา จึงจะส่งผลกระทบไม่มากนัก
ส่วนพื้นที่ภาคใต้ หากพิจารณาจากสภาพอากาศ ขณะนี้ค่อนข้างคลี่คลายไปบ้างแล้ว โดยยังมีฝนตกอยู่บางพื้นที่เท่านั้น ดังนั้น หากเกิดน้ำท่วมขังก็คงไม่รุนแรงเหมือนที่คาดการณ์ไว้ครั้งแรกที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
สำหรับภาคกลาง ที่หลายฝ่ายยังเข้าใจว่าน้ำท่วมเพราะเขื่อนปล่อยน้ำนั้น สาเหตุสำคัญแท้จริงของน้ำท่วมเกิดจากฝนตกใหญ่ในวันที 15-16 ตุลาคม ก็ทำให้มีน้ำฝนปริมาณเฉลี่ยสูง
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของกรุงเทพฯ ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสาเหตุสำคัญ คือ 1.โครงการพระราชดำริ 2.แผนการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งช่วงที่ระดับน้ำสูงสุดได้ผ่านไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่าอยู่ในระยะปลอดภัยแล้วในปัจจุบัน สำหรับทุ่งภาคกลางขณะนี้ได้ส่งเครื่องสูบน้ำไปแล้ว 428 เครื่อง หลังจากนี้ น้ำจะทรงตัว และระดับน้ำทะเลก็จะลงเรื่อยๆ เป็นจังหวะดีที่จะสูบน้ำออกจากบริเวณท่วมขัง