นิตยสารเนเจอร์ จีโอไซน์ ของอังกฤษ รายงานว่า การลดคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ของโลกยังอยู่ในระดับปานกลางในปี 2552 ถึงแม้ว่าจะประสบกับภาวะวิกฤตเศรรษฐกิจในปีดังกล่าวก็ตาม เนื่องจากจีนและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง
โดยรายงานที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของนิตยสารเนเจอร์ จีโอไซน์ ระบุว่า การปลดปล่อย CO2 ของโลกยังลดลงต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 1.3% ถึงแม้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังการล้มของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้งส์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ในปี 2551 ก็ตาม
นอกจากนี้เนเจอร์ จีโอไซน์ ยังเตือนว่า การปล่อยคาร์บอนของโลกอาจเพิ่มขึ้นสูงกว่า 3% ในปี 2553 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด หากภาวะเศรษฐกิจโลกมีอัตราการเติบโตตามคาดการณ์
โยชิกิ ยามากาตะ นักวิจัยจากสถาบันศึกษาสิงแวดล้อมแห่งชาติของญี่ปุ่น กล่าวว่า "แนวโน้มการปลดปล่อยมลภาวะของโลกยังเพิ่มขึ้นในอัตราคงที่ ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีอัตราการเติบโตเท่าใดก็ตาม"
นอกจากนี้ ยามากาตะ กล่าวเสริมว่า "การพยายามลดการปลอดปล่อย CO2 ต้องร่วมมือกันทุกประเทศ ไม่เฉพาะแต่ประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น"
ทั้งนี้ ทีมวิจัยประเมินว่า การปล่อยมลภาวะในปี 2552 มีปริมาณเท่ากับ 3.08 หมื่นล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์รองจากสถิติปี 2551 เนื่องจากได้ลดลงเพียงครึ่งเดียวของตัวเลขการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.8%
ประเทศญี่ปุ่นได้ลดการปล่อยมลภาวะลดลงสูงสุดที่ 11.8% ตามมาด้วยสหรัฐ 6.9% และอังกฤษ 8.6% ในณะที่จีนเพิ่มขึ้น 8.0% อินเดีย 6.2% และเกาหลีใต้ 1.4%
ทีมวิจัยประเมินว่า การปล่อยมลภาวะของโลกจะเพิ่มขึ้น 3-5% ในปี 2553 หรือประมาณ 3.2 หมื่นล้านตัน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน