In Focusส่งท้ายปีเสือกับ 3 เรื่องเด่นในรอบปีที่ทำให้เสือดุกลายเป็นเสือยิ้ม

ข่าวต่างประเทศ Wednesday December 15, 2010 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองและกลิ่นอายความสุขจากการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตามมุมต่างๆ ของโลกยังไม่ทันจะจางหายดี ณ ประเทศเฮติ ดินแดนเล็กๆในทวีปอเมริกา ในช่วงเช้าตรู่ของวันอังคารที่ 12 มกราคม 2553 ขณะที่ผู้คนส่วนหนึ่งกำลังหลับใหลและบางส่วนเพิ่งตื่นขึ้นมาเริ่มต้นเช้าวันใหม่ ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ ส่งผลให้เมืองหลวง ปอร์โตแปรงซ์ และพื้นที่ชนบทโดยรอบราบเป็นหน้ากลอง อาคารบ้านเรือนพังถล่มเสียหายย่อยยับ โศกนาฏกรรมครั้งนี้มีผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 220,000 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 300,000 คน และทำให้มีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยถึง 1.3 ล้านคน ถือเป็นเหตุธรณีพิบัติที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าร้อยปีที่เกิดขึ้นกับประเทศยากจนที่สุดประเทศหนึ่งในซีกโลกตะวันตกแห่งนี้ และนับเป็นการเริ่มต้นปีที่ไม่สวยเอาเสียเลย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า “เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" แต่เป็นในทางตรงกันข้าม กล่าวคือหลังจากเหตุการณ์ธรณีพิโรธเป็นปฐมฤกษ์ของปีนี้แล้ว ก็ได้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเข้าขั้นหายนะตามมาอีกนับไม่ถ้วน อาทิ อุทกภัยในปากีสถาน แผ่นดินไหวที่ชิลี คลื่นความร้อนในรัสเซีย ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งในไอซ์แลนด์ปะทุส่งเถ้าถ่านพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าบดบังทัศนวิสัยการบิน ภูเขาไฟเมราปีในอินโดนีเซียระเบิด ยังไม่รวมโศกนาฏกรรมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์อย่างเหตุการณ์น้ำมันไหลทะลักจากแท่นขุดเจาะของบีพีลงสู่อ่าวเม็กซิโก สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศวิทยาทางทะเลและส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบบริเวณ เป็นต้น

ในส่วนของเศรษฐกิจนั้น หลังจากที่ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาต้องล้มครืนจากพิษซับไพรม์ที่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติการเงินโลกไปเมื่อสองปีก่อนและจนถึงปัจจุบันก็ยังต้องพักรักษาตัวอยู่ในห้องพักฟื้น ล่าสุดปีนี้ ถึงคราวที่มหาอำนาจผู้ศิวิไลซ์อย่าง ทวีปยุโรป ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาลเป็นรายล่าสุด เมื่อหลายประเทศในภูมิภาคถูกวิกฤตหนี้สินเล่นงานอย่างหนักจนต้องบากหน้าขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ รายที่เป็นคนไข้อาการหนักสุดเห็นจะเป็น กรีซ และ ไอร์แลนด์ ยังไม่รวมโปรตุเกส สเปน และแม้แต่อังกฤษที่ยังไม่ถึงกับต้องเข้าห้องฉุกเฉิน แต่ก็ต้องอัดยาแรงกันสุดชีวิต ด้วยการประกาศมาตรการรัดเข็มขัดกันขนานใหญ่เพื่อลดรายจ่ายกันแบบสุดตัว

ฝ่ายการเมืองปีนี้ ก็มีที่งัดข้อกันหลายคู่ แต่ที่เด่นสุด เห็นจะเป็น เกาหลีเหนือ ที่โดดมารับบทผู้ร้ายเต็มตัว โดยหลังจากที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกาอย่างชัดแจ้ง และลองเชิงยั่วโมโหนานาประเทศด้วยการทดลองยิงขีปนาวุธและนิวเคลียร์อยู่เนืองๆ มาปีนี้ โสมแดงจัดหนัก ด้วยเหตุการณ์ยิงตอร์ปิโดเข้าใส่เรือรบโชนันของเกาหลีใต้จนจมลงในทะเลเหลือง จนทำให้มีลูกเรือเสียชีวิตถึง 46 รายเมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ตามมาด้วยการเปิดฉากยิงปืนใหญ่ตกลงบนเกาะของเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย แบ่งเป็นทหารและพลเรือนเท่าๆกัน

อย่างไรก็ดี แม้เหตุการณ์หลายแหล่ที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้ภาพรวมของปีนี้เป็นปีเสือดุ แต่ก็มีเหตุการณ์ดีๆ ที่ทำให้เสือที่ยิ้มยากมาตั้งแต่ต้นปี เผลอฉีกยิ้มกว้างในบางช่วงได้อยู่เหมือนกัน

* เวิลด์คัพในแดนกาฬทวีป

หลังจากที่โลกต้องหลั่งน้ำตาและใจสลายกับภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติตั้งแต้ต้นปี และแล้วจิตใจที่หดหู่และห่อเหี่ยวก็ถูกปลุกให้กลับมามีชีวิตชีวาและคึกคักกระชุ่มกระชวยได้อีกครั้งในช่วงกลางปี เมื่อการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ 4 ปีมีครั้งได้เวียนมาถึงอีกครา

ฟุตบอลโลก 2010 เปิดฉากขึ้นในวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ท่ามกลางการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อของคอบอล และแม้แต่คนทั่วไปที่ไม่ดูบอลก็ยังอดไม่ได้ที่จะร่วมเกาะติดกระแสฟุตบอลโลกไปกับเขาด้วย

อันที่จริงแล้ว ไม่เคยมีฟุตบอลโลกครั้งไหนที่หลุดออกนอกกรอบความสนใจของแฟนบอล เพราะในการแข่งขันแต่ละครั้งก็มีสีสันแปลกใหม่แตกต่างกันไป สำหรับปีนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ศึกลูกหนังระดับโลกไประเบิดแข้งกันที่ทวีปแอฟริกา ซึ่งก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการนั้น สื่อต่างชาติพากันประโคมข่าวและตั้งคำถามถึงศักยภาพของแอฟริกาใต้ในการรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาระดับโลก

อย่างไรก็ดี ทันทีที่เสียงนกหวีดคิกออฟดังขึ้น คลอไปกับเสียงเพลง Waka Waka (This Time for Africa) เพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 คำถามดังกล่าวก็อันตรธานหายไป เมื่อสายตาของผู้คนทั่วโลกจับจ้องไปที่เกมการแข่งขันอันตื่นเต้นเร้าใจ อีกทั้งยังมีเรื่องราวนอกสนามให้ติดตามอย่างสนุกไม่แพ้กันด้วย

โดยฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้สร้างปรากฏการณ์หรือกระแสฮิตอินเทรนด์ขึ้นมา 2 สิ่ง สิ่งแรกก็คือ "วูวูเซล่า" (vuvuzela) แตรพื้นเมืองแอฟริกาที่ก่อนเริ่มการแข่งขันยังไม่มีใครรู้จัก แต่มาบัดนี้ใครไม่รู้จักถือว่าเชยสุดๆ สาเหตุที่ทำให้เจ้าวูวูเซล่าดังขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืนนั้น ก็เพราะเสียงอันดังสนั่นกึกก้องที่เหล่ากองเชียร์มองว่าจะช่วยเพิ่มสีสันและความคึกคักในระหว่างชมการแข่งขัน จนทำให้เครื่องดนตรีพื้นบ้านชนิดนี้กลายเป็นอุปกรณ์เชียร์ที่แฟนบอลต้องนำติดตัวเข้าไปชมการแข่งขันในสนามทุกแมตช์

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กองเชียร์บนอัฒจันทร์สนุกสนานกับการเป่าวูวูเซล่าประกอบการเชียร์ แต่เสียงดังสะท้านสะเทือนของมันกลับทำให้บรรดานักเตะในสนามที่ได้ยินเสียงเจ้าวูวูเซล่ากรอกหูอยู่ตลอด 90 นาที แทบจะประสาทเสียและพากันบ่นอุบ ส่งผลให้หลังจากปิดฉากเวิลด์คัพ 2010 วูวูเซล่าก็ได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในหลายทัวร์นาเมนต์กีฬาทั่วโลก ทั้งการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลม วิมเบิลดัน รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ไม่ว่าจะเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบคัดเลือก หรือ ยูโร 2012 ด้วย

จากนี้ไป วูวูเซล่าอาจถูกลดบทบาทในฐานะอุปกรณ์เชียร์กีฬา และกลับไปทำหน้าที่เดิมของมันคือเครื่องดนตรี แต่เชื่อแน่ว่าหากกล่าวถึงฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ครั้งใด เครื่องเป่าพื้นเมืองชนิดนี้ก็จะถูกนึกถึงควบคู่ไปด้วยอย่างแน่นอน

ส่วนอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดคู่กับวูวูเซล่าในศึกเวิลด์คัพที่แอฟริกาใต้ก็คือ “Paul the Octopus" หรือ พอลหมึกยักษ์พยากรณ์ นั่นเอง

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว การแข่งขันฟุตบอลโลกทุกครั้งจะต้องมีตัวมาสคอตเป็นสัญลักษณ์ของการแข่งขัน ซึ่งแอฟริกาใต้ก็สร้างสรรค์เสือดาวหนุ่มนาม "ซาคูมิ" มาเป็นมาสคอตประจำการแข่งขันหนนี้ พร้อมวาดฝันทำรายได้จากการขายสินค้าที่ระลึกเป็นกอบเป็นกำ แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง แทนที่ซาคูมิจะได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น กลับมีปลาหมึกยักษ์แห่งซีไลฟ์ อควาเรียม ในเมืองโอเบอร์เฮาเซน ประเทศเยอรมนี มาขโมยซีนไปเสียนี่

พอลเป็นหมึกยักษ์เพศผู้ เกิดเมื่อเดือนมกราคม 2008 ที่เมืองเวย์มัธ ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะย้ายไปประจำการที่ ซีไลฟ์ อควาเรียม ณ เมืองเบียร์ พอล หรือที่แฟนบอลชาวไทยตั้งฉายาให้ว่า "นอสตราดาหมึก" โด่งดังไปทั่วโลกอันเนื่องมาจากการทำนายผลการแข่งขันเวิลด์คัพ 2010 ได้แม่นยำราวกับจับวาง โดยมันสามารถทายผลนัดที่ทีมอินทรีเหล็กลงสนาม 7 นัด บวกกับนัดชิงชนะเลิศระหว่างสเปน กับ เนเธอร์แลนด์ ถูกต้องทั้งหมด !!!

นอกจากจะพาหนวดยักษ์ของมันไปปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์ทั่วโลกแล้ว พอลยังได้สร้างปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียอย่าง เฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ อีกด้วย โดยพอลกลายเป็นเซเลบที่มีผู้ติดตามและผู้เข้าชมมากติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกเลยทีเดียว นอกจากนี้ พ่อมด 8 ขารายนี้ยังเป็นผู้นำเทรนด์ให้สวนสัตว์ต่างๆทั่วโลก นำเอาสัตว์ออกมาทำนายผลการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนี้ ไม่เว้นแม้แต่ หลินปิง แพนด้ายักษ์แห่งสวนสัตว์เชียงใหม่ของไทย

ถึงแม้พอลจะสิ้นชีพตามอายุขัยของมันแล้ว (2 ขวบ 10 เดือน) แต่ชื่อของพอลจะกลายเป็นตำนานอยู่คู่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกต่อไปตราบนานเท่านาน

* ปฏิบัติการช่วยชีวิตคนงานเหมืองชิลี

หากแผ่นดินไหวที่เฮติถือเป็นการลงโทษจากพระแม่ธรณีแล้ว ในทางกลับกัน เหตุการณ์ช่วยชีวิตคนงานเหมืองในชิลีก็อาจเรียกได้ว่าเป็นของขวัญปลอบใจสุดล้ำค่าที่พระแม่ธรณีประทานให้ก็เป็นได้

บ่ายวันที่ 5 สิงหาคม 2553 ได้เกิดอุบัติเหตุเหมืองทองแดงและทองคำซานโฮเซ่ ในทะเลทรายอาตาคามาทางเหนือของชิลีถล่ม ส่งผลให้คนงานเหมืองทั้งหมด 33 คนติดอยู่ใต้เหมืองที่มีความลึกระดับ 700 เมตร

ปฏิบัติการช่วยชีวิตคนงานเหมืองทั้งหมดจึงอุบัติขึ้นท่ามกลางการแข่งขันกับเวลา ซึ่งผลของความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ซึ่งประกอบด้วยวิศวกรและช่างเทคนิคที่เกี่ยวข้อง นำทัพโดยประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปิเนราแห่งชิลี และลอว์เรนซ์ โกลบอร์น รัฐมนตรีกิจการเหมืองแร่ ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนปฏิบัติการช่วยเหลือคนงานเหมืองตั้งแต่ต้นจนจบ ประกอบกับพลังใจอันแรงกล้าของคนงานเหมืองใต้ผืนปฐพี รวมถึงแรงอธิษฐานของครอบครัว ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้คนทั่วโลกที่คอยส่งกำลังใจมาเป็นเวลากว่าสองเดือน คนงานเหมืองทั้ง 33 คนก็ได้รับการช่วยชีวิตให้กลับคืนสู่พื้นพิภพอีกครั้ง

ตลอดระยะเวลา 69 วันที่ชะตาชีวิตของคนงานเหมืองได้ดึงหัวใจของทุกคนให้มารวมกันนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทั้งลุ้นระทึกและเต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ เมื่อคนงานเหมืองทั้ง 33 คนได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวชิลีและเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก นอกจากการรอดชีวิตกลับมาพบหน้าครอบครัวและเพื่อนฝูงแล้ว พวกเขาเหล่านี้ยังกลายเป็นวีรบุรุษของชาวชิลี และกลายเป็นบุคคลเนื้อหอมที่สุดในประเทศในพริบตา เมื่อสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์รุมสัมภาษณ์ ขณะที่เรื่องราวอันเป็นตำนานของพวกเขากำลังจะได้รับการถ่ายทอดลงสู่หน้ากระดาษและแผ่นฟิล์มอีกด้วย

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนงานเหมืองทั้ง 39 คนได้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการมองโลกในแง่ดี การไม่สิ้นหวังและไม่ย่อท้อ ดังเช่นที่พวกเขาได้กล่าวเอาไว้ว่า “หากไม่สิ้นหวัง ปาฏิหาริย์ก็จะบังเกิด"

* "ออง ซาน ซู จี" อิสรภาพที่โลกรอคอย

หลังจากที่โลกช่วยกันส่งใจให้คนงานเหมืองชิลีทั้ง 33 คนรอดชีวิตคืนสู่อิสรภาพบนพื้นปฐพี วันที่ 13 พฤศจิกายน ก็เป็นอีกวันที่ทั่วโลกร่วมกันลุ้นให้รัฐบาลทหารพม่าคืนอิสรภาพแด่นาง ออง ซาน ซู จี หลังจากที่นางถูกกักบริเวณในบ้านพักมาอย่างยาวนานถึง 15 ปี ในตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา

และแล้วในที่สุดเวลาที่ทั่วโลกรอคอยก็มาถึง เมื่อรัฐบาลทหารพม่ายอมปล่อยตัวหญิงแกร่งผู้เป็นแกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศ โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ซูจีปรากฏตัวในชุดประจำชาติพม่าสีม่วงอ่อน นางได้กล่าวทักทายฝูงชนที่ร้องตะโกนให้กำลังใจและร้องเพลงชาติกันอย่างมีความสุข ในที่สุดเธอก็ได้รับอิสรภาพหลังจากที่ถูกจองจำเกือบตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

หนึ่งวันหลังได้รับอิสรภาพที่รอคอยมานาน ซูจีได้กล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ณ ที่ทำการพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ที่เธอเป็นผู้ก่อตั้ง ณ โอกาสนี้เธอได้ให้คำมั่นต่อฝูงชนหลายหมื่นคนที่มาร่วมเป็นพยานว่า เธอจะทำงานเพื่อสร้างความปรองดองในประเทศ นอกจากนั้น เธอยังแสดงให้เห็นถึงน้ำใจโดยยืนยันว่า เธอไม่ได้ต่อต้านหรือเกลียดชังรัฐบาลทหารพม่าที่สั่งกักบริเวณเธอมานาน พร้อมระบุว่าการเจรจาเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาต่างๆในพม่าได้ ดังนั้นเธอพร้อมพบปะหารือกับแกนนำรัฐบาลทหารพม่า รวมถึงพร้อมรับฟังความคิดเห็นของชาวพม่าและกลุ่มผู้สนับสนุนจากนานาชาติว่าอยากให้เธอเดินหน้าต่อไปอย่างไร

ต่อมาในวันที่ 13 พฤศจิกายน ผู้คนทั่วโลกก็ได้เห็นภาพอันน่าประทับใจ เมื่อเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพผู้นี้ ได้พบกับนายคิม อาริส บุตรชายคนเล็กวัย 33 ปีเป็นครั้งในรอบ 10 ปี จากนั้นแม่ลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน โดยซูจีได้พาลูกชายคนเล็กเดินทางไปสักการะมหาเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์กลางนครย่างกุ้ง

คำปราศรัยที่กินใจของซูจีและภาพน่าประทับใจระหว่างแม่ลูกถือเป็นหนึ่งเหตุการณ์ดีๆ ในรอบปีนี้ที่จะถูกเก็บบันทึกลงเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่กาลเวลาไม่อาจลบเลือน ไม่ว่าวันคืนจะเปลี่ยนผันไปเช่นไร

สำหรับปีพ.ศ. 2553 หรือค.ศ. 2010 ที่ใกล้จะถึงปลายทางทุกขณะ นับเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยสีสันของเรื่องราวซึ่งกำลังจะกลายเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ และแม้ขวบปีที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมากมาย แต่หากเราคิดบวก ก็จะเห็นว่าในเรื่องราวร้ายๆ ย่อมมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วยเสมอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ