นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมด้วยนายการุณ ใสงาม และ ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์ คณะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งเดินทางกลับจากกัมพูชา ได้ร่วมแถลงจุดยืนแนวทางความเคลื่อนไหวช่วยคนไทยที่ถูกจับกุมตัวในกัมพูชาโดยนายการุณ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่เดินทางไปและอยู่ในกัมพูชา ไม่เคยพบกับทนายความกัมพูชาและคนไทยที่ถูกคุมขัง เนื่องจากถูกปฏิเสธและบ่ายเบี่ยง กีดกันจากเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการอำนวยความสะดวกในการต่อสู้คดี
"ทางเครือข่ายจะตั้งทนายความและล่ามมาช่วยเหลือผู้ต้องหาเอง โดยใช้เงินของเครือข่ายฯ เนื่องจากไม่มั่นใจในทนายที่สถานทูตจัดหาให้ เพราะได้รับข้อมูลว่ามีนักธุรกิจที่สนิทสนมกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจ้างทนายให้ ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากล นอกจากนี้ทางเครือข่ายฯ จะจัดทำเอกสารที่เกี่ยวกับเขตแดน และพยานหลักฐานที่ใช้ในการต่อสู้คดีอย่างละเอียดเพื่อจัดพิมพ์เป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษากัมพูชา
เพื่อนำไปมอบให้นายวีระ สมความคิด ในการยื่นต่อสู้คดีต่อศาลกัมพูชา โดยจะเดินทางไปในวันที่ 18 มกราคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้พบนายวีระในวันที่ 19 มกราคม รวมทั้งจะแจกจ่ายให้คนไทยและต่างชาติได้รับทราบด้วย ขณะเดียวเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาลหยุดแสดงความคิดเห็นใด ๆ ที่เป็นการทำให้คนไทยทั้ง 7 คนเสียเปรียบในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะการยอมรับว่าคนไทยถูกจับกุมในดินแดนของกัมพูชา"นายการุณ กล่าว
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่ได้เคลื่อนย้ายการชุมนุมไปยังสถานที่ใด และมีรายงานว่าช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 ม.ค.) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาเจรจากับแกนนำ เพื่อขอให้เปิดการจราจรบนถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกมิสกวัน-สะพานชมัยมรุเชฐ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ยอมคืนพื้นผิวการจราจรเพียง 2 ช่องทาง เปิดทางให้รถยนต์สามารถวิ่งสัญจรไปมาได้ แต่ยังคงนำเต็นท์มากางที่ด้านข้างตลอดแนวถนนบริเวณทำเนียบรัฐบาลและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)