องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ชื่นชมรัฐบาลจีนในการออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในภาคเหนือของประเทศ
FAO ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงโรมระบุว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือของจีน ได้แก่ การเพิ่มระบบชลประทานเพื่อชดเชยผลกระทบจากหิมะที่ตกน้อยลงและความชื้นต่ำ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณจำนวน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อส่งเสริมรายได้เกษตรกร และการให้เงินอุดหนุนต่อต้นทุนน้ำมันดีเซล ปุ๋ย และ ยาปราบศัตรูพืช
นอกจากนี้ FAO กล่าวเสริมว่า ฝนที่ตกน้อยกว่าปกติในเดือนตุลาคมปี 2553 ในภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของจีนสำหรับเพาะปลูกข้าวสาลีในช่วงฤดูหนาว ต้องประสบกับภาวะภัยแล้งที่รุนแรงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกข้าวสาลีในระยะยาว
ทั้งนี้ FAO ยังเตือนภัยเป็นกรณีพิเศษถึงฤดูหนาวที่แห้งแล้งอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือของจีนที่อาจมีผลกระทบต่อผลผลิตข้าวสาลีและทำให้กลายเป็นปัญหาที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดย FAO ประเมินว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีในช่วงฤดูหนาวจำนวน 5.16 ล้านเฮคตาร์ จากจำนวนทั้งหมด 14 ล้านเฮคตาร์ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงฤดูร้อน
รายงานระบุว่า ภาวะภัยแล้งได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนราว 2.57 ล้านคนและปศุสัตว์กว่า 2.79 ล้านตัว เนื่องจากการขาดแคลนน้ำดื่ม ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้จีนตกอยู่ภายใด้แรงกดดันจากราคาข้าวสาลีที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
FAO เตือนว่า สถานการณ์ในภูมิภาคอาจจะรุนแรงมากขึ้นหากอุณหภูมิลดลงอีกในเดือนนี้และภาวะแห้งแล้งอาจยาวนานไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ โดย FAO ระบุว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งได้แก่ มณฑลชานตง เจียงซู เหอหนาน เหอเป่ย์ และ ซานซี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด และคิดเป็น 2 ใน 3 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีของประเทศ สำนักข่าวซินหัวรายงาน