รมช.สาธารณสุข ผุดไอเดียวิจัยสมุนไพรรางจืดรักษาพิษจากสารกัมมันตรังสี

ข่าวทั่วไป Tuesday March 22, 2011 16:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รมช.สาธารณสุข ปิ๊งไอเดียใช้สมุนไพรรางจืดที่กำลังรณรงค์ให้เกษตรกรใช้ขับพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในร่างกายไปรักษาผู้ที่ได้รับพิษจากสารกัมมันตรังสี หลังทั่วโลกวิตกกังวลต่อภาวะสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น

"กระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดจะทำการศึกษาวิจัยรางจืดมาใช้รักษาพิษจากสารกัมมันตรังสีในสัตว์ทดลองว่าสามารถแก้ปัญหาการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีและขับพิษได้หรือไม่" นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข กล่าว

โดยขณะนี้ทั่วโลกกำลังวิตกกับภาวะสารกัมมันตรังสีที่อาจรั่วไหลจากโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ประเทศญี่ปุ่น หลังเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งผลกระทบเรื่องสุขภาพจากรังสีนั้นจะมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาทั่วโลกยังไม่มีการวิจัยเรื่องนี้มาก่อน แต่มีงานวิจัยทางห้องทดลองหลายสถาบันพบว่ารางจืดมีฤทธิ์ในการลดพิษของสารตะกั่วที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์ประสาทสมองในหนูทดลองได้ และยังสามารถลดพิษของแมงดาทะเลได้ ทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิต 2 ราย

"ได้หารือกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัย คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาทดลองประมาณ 1 ปี ใช้งบประมาณ 2-3 ล้านบาท หากสำเร็จจะเป็นข่าวดีให้คนทั่วโลกที่จะมียาสมุนไพรรักษาพิษจากสารกัมมันตรังสีที่อาจปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมหรือในอาหารได้" นางพรรณสิริ กล่าว

สำหรับในประเทศไทยมีโครงการคัดกรองสารพิษตกค้างในร่างกายของเกษตรกรทั่วประเทศ 14.1 ล้านคน ให้ครบภายใน 5 ปี โดยในปี 54 มีเป้าหมายตรวจเกษตรกร 840,000 คนทั่วประเทศ โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล 840 แห่ง ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข 84,000 คน ค้นหาเกษตรกรที่มีความเสี่ยงและตรวจเลือดโดยใช้ชุดตรวจสารพิษในเลือดภาคสนามรู้ผลเร็วภายใน 10 นาที หากพบว่าเกษตรกรมีสารพิษในเลือดในระดับที่ไม่ปลอดภัยจะนำสมุนไพรรางจืดซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านมาใช้ขับพิษออกในรูปของชาชงกิน 6 กรัม ก็จะขับสารพิษออกภายใน 7 วัน

ทั้งนี้พิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีทั้งชนิดเฉียบพลัน เช่น ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก มองเห็นภาพลางเลือน อาเจียน ปวดท้อง และชนิดเรื้อรัง โดยพิษสะสมในร่างกายแสดงอาการภายหลังที่อันตรายที่สุดคือ โรคมะเร็ง สารเคมีเข้าสู่ร่างกายคน 3 ทางคือทางปาก การหายใจสูดสารเคมีขณะฉีดพ่น สารเคมีที่ใช้มากที่สุด คือ กลุ่มออร์กา-โนฟอสเฟต ร้อยละ 58 รองลงมา คือ กลุ่มพาราควอทร้อยละ 31 และกลุ่มคาร์บาเมต ร้อยละ 22

"โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อสนองนโยบายจะตรวจคัดกรองเกษตรกรที่มีทั่วประเทศ 14.1 ล้านคน ให้ครบภายใน 5 ปี โดยในปี 2554 มีเป้าหมายตรวจเกษตรกร 840,000 คนทั่วประเทศ โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล 840 แห่ง ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข 84,000 คน ค้นหาเกษตรกรที่มีความเสี่ยงและตรวจเลือดโดยใช้ชุดตรวจสารพิษในเลือดภาคสนามรู้ผลเร็วภายใน 10 นาที หากพบว่าเกษตรกรมีสารพิษในเลือดในระดับที่ไม่ปลอดภัย จะนำสมุนไพรรางจืด ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านมาใช้ขับพิษออก ในรูปของชาชง กิน 6 กรัม ก็จะขับสารพิษออกภายใน 7 วัน

ทั้งนี้พิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มีทั้งชนิดเฉียบพลัน เช่น ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก มองเห็นภาพลางเลือน อาเจียน ปวดท้อง และชนิดเรื้อรัง โดยพิษสะสมในร่างกายแสดงอาการภายหลังที่อันตรายที่สุดคือ โรคมะเร็ง สารเคมีเข้าสู่ร่างกายคน 3 ทางคือทางปาก การหายใจสูดสารเคมีขณะฉีดพ่น สารเคมีที่ใช้มากที่สุด คือ กลุ่มออร์กา-โนฟอสเฟต ร้อยละ 58 รองลงมา คือ กลุ่มพาราควอทร้อยละ 31 และกลุ่มคาร์บาเมต ร้อยละ 22.สำหรับประเทศไทย

หลังเปิดงานโครงการรณรงค์ "เกษตรปลอดโรค ผู้บริโภคปลอดภัย สมุนไพรล้างพิษ กายจิตผ่องใส" ที่ศาลากลางจังหวัดนครนายก เพื่อรณรงค์ให้เกษตรกรในจังหวัดนครนายก ที่มีความเสี่ยงได้รับอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในสวน ไร่นา ได้มีความรู้ในเรื่องของการใช้สมุนไพรรางจืด เพื่อล้างพิษในร่างกายและส่งเสริมสนับสนุนการปลูกรางจืดไว้ใช้ในครัวเรือน ว่า ขณะนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนไทยใช้รางจืด ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ปลูกง่าย นำมาใช้ในการขับพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในร่างกาย ทั้งเกษตรกรผู้ปลูก รวมทั้งประชาชนทั่วไปซึ่งอาจบริโภคผักผลไม้ที่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง ซึ่งจากการตรวจล่าสุดพบผักผลไม้สดมีสารเคมีตกค้างถึงร้อยละ 28


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ