นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล ของเยอรมนี กล่าวว่า เยอรมนีจะเป็นแบบอย่างให้กับประชาคมโลกในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนและพลังงานประหยัด หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด 17 แห่งในประเทศภายในปี 2565
"เราเชื่อว่าเยอรมนีจะเป็นผู้บุกเบิกยุคแห่งการใช้พลังงานทดแทน" นางแมร์เคลกล่าวหลังจากที่รัฐบาลผสมของเยอรมนีร่างกำหนดการเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์
ภายใต้แผนปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น โรงไฟฟ้าที่เก่าแก่ที่สุด 7 แห่งซึ่งถูกระงับการใช้งานหลังเกิดวิกฤตนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น จะไม่มีการเปิดใช้อีก รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กรูมเมลซึ่งไม่ได้ใช้งานมาหลายปีเนื่องจากมีปัญหาทางเทคนิค ก็จะถูกปิดตาย
อย่างไรก็ดี หนึ่งในโรงไฟฟ้าเก่าเหล่านี้จะอยู่ในสถานะสแตนด์บายตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการสำรองไว้เผื่อว่าอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ส่วนโรงงานอีก 6 แห่งจะปิดทำการถาวรภายในสิ้นปี 2564 ขณะที่โรงไฟฟ้าใหม่ที่สุด 3 แห่งจะเปิดใช้งานไปจนถึงปี 2565
ทั้งนี้ แผนดังกล่าวซึ่งยังต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภา จะทำให้เยอรมนีเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักประเทศแรกที่เตรียมเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ทั้งหมด
นางแมร์เคลกล่าวว่า เยอรมนีสามารถแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่า ประเทศพัฒนาแล้วสามารถหันไปใช้พลังงานทดแทนและพลังงานประหยัดได้ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการส่งออก พัฒนา การคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ และการจ้างงานด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้สมาพันธ์อุตสาหกรรมเยอรมนี (BDI) ได้แสดงความวิตกกังวลว่า การปิดโรงไฟฟ้าอาจกดดันให้เยอรมนีต้องสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและก๊าซเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและอุปทาน ซึ่งจะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นางแมร์เคลกล่าวว่า "เราไม่เพียงตั้งเป้าหยุดใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2565 เท่านั้น แต่เราต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 40% และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้เป็น 35% จากปัจจุบันที่ระดับ 17%" สำนักข่าวซินหัวรายงาน