นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สภาพอากาศของประเทศ มีความชื้นสูง เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ที่พบได้บ่อยได้แก่ ไข้หวัดทั่วไป ไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม รวมทั้งไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งยังคงพบเชื้อนี้อยู่
จากการเฝ้าระวังสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่ทุกชนิดในภาพรวม ในปี 2554 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม — กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรครายงานมีผู้ป่วยสะสมทั่วประเทศ 10,664 ราย ผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ พบว่า เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 มากที่สุด และมีผู้เสียชีวิต 5 ราย ทั้งหมดเกิดจากไข้หวัดใหญ่ 2009
นพ.สุพรรณ กล่าวต่อว่า ประชาชนที่มีอาการไข้หวัด คือ เป็นไข้ ไอ มีเสมหะ ขอให้หยุดพักผ่อนอยู่บ้าน อาการจะค่อยๆดีขึ้น แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ไข้ยังไม่ลดภายใน 2 วัน ขอให้คิดถึงว่าอาจป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 ไว้ด้วย และควรไปพบแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่ถูกวิธี รวมทั้งเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ที่อันตรายที่สุดคือโรคปอดบวม ทำให้เสียชีวิตได้
กลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยจากโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 และมีอาการรุนแรงกว่าประชาชนทั่วไป ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคตับ โรคไต โรคโลหิตจาง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำอยู่แล้ว
ดังนั้น หากมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด เช่น ไข้ ไอ มีน้ำมูกไหล ขอให้ไปพบแพทย์ทันที และให้ยึดแนวปฏิบัติป้องกันโรคติดต่อ 3 ประการคือ กินร้อน ใช้ช้อนกลางและล้างมือบ่อยๆ การล้างมือจะสามารถขจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามฝ่ามือ ง่ามนิ้ว เล็บมือ ลงได้มากถึงร้อยละ 80