นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคืบหน้าการยื่นให้ศาลเยอรมนีพิจารณาคำร้องคัดค้านการอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737ของไทย ว่า บริษัทเอกชนของเยอรมนีได้ยื่นเอกสารคัดค้านที่น่าจะเป็นข้อมูลเก่าว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเคยอยู่ในการดูแลของกองทัพอากาศไทย ซึ่งศาลนัดพิจารณา วันที่ 18 ก.ค. คาดว่าสามารถตัดสินได้
ทั้งนี้ให้อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศไปตรวจสอบเอกสารยื่นคัดค้านดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้เยอรมนีแสดงความเสียใจ โดยถือว่าเป็นเรื่องเอกชนและศาล จึงไม่สามารถก้าวล่วงได้ แต่ได้มีการอำนวยความสะดวกและประสานกันตลอดเวลา อย่างไรก็ตามยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเกียรติยศและชื่อเสียงของไทย เพราะเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะไม่เหมาะสม เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด และไทยพร้อมปฏิบัติตามเมื่อคดีสิ้นสุด
จากกรณีศาลเยอรมันได้อายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ซึ่งเป็นเครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์ ที่ท่าอากาศยานนครมิวนิก เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุเป็นการยึดทรัพย์ในคดีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทวอเตอร์ บาวน์ ของเยอรมัน ซึ่งได้เลิกกิจการไปแล้ว แต่ได้มอบหมายให้ทนายความ เป็นผู้จำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ เมื่อปี 2548 โดยวงเงินที่ต้องชดใช้อยู่ประมาณ 30 ล้านยูโร บวกดอกเบี้ยอีก 6 เดือน ในอัตราร้อยละ 2 ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.49 รวมถึงค่าใช้จ่ายในกระบวนการอนุญาโตตุลาการของบริษัทนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ควรจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น และอัยการสูงสุดกำลังดำเนินการ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้เพราะเป็นช่วงรอยต่อของคดีที่ไทยเตรียมยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 29 ก.ค.นี้ ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่มีความจำเป็นอะไร ที่ต้องมาอายัดทรัพย์สินอะไร เพราะเมื่อชั้นสุดท้ายศาลตัดสินอย่างไร หรือให้ประเทศไทยชำระหนี้เราต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีทางหนีไปไหน ทรัพย์สินของรัฐบาลมีอยู่มากมาย และเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ทางการเยอรมันจะต้องมาดำเนินการอะไร
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ภารกิจสำคัญคือ ให้มีการถอนอายัดเครื่องบินของพระองค์ท่านเสียก่อน และต่อไปไม่ควรมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของเอกชน