นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รองผู้อำนวยการศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม (ศอส.) เปิดเผยว่า ในระยะนี้ร่องมรสุมพาดผ่านพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรง ทำให้มีฝนตกเกือบทั่วไป และฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยที่ราบลุ่มริมน้ำ ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ใน 12 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครนายก นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนระมัดอันตรายจากภาวะฝนตกหนักและน้ำล้นตลิ่ง
จากการติดตามสถานการณ์น้ำ พบว่า สถานการณ์ในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างยังค่อนข้างวิกฤต ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้สถานการณ์น้ำล้นตลิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
ศอส. จึงได้กำชับให้จังหวัดพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยาและภาคกลางตอนล่างเตรียมพร้อมรับมือภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าขั้นวิกฤติ โดยเร่งเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น พร้อมตรวจสอบคันกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง รวมถึงประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประlบอุทกภัย 30 จังหวัด รวม 218 อำเภอ 1,498 ตำบล 10,747 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 762,765 ครัวเรือน 2,342,123 คน ผู้เสียชีวิต 253 คนสูญหาย 4 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 8,642,399 ไร่
สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนแควน้อย มีปริมาณน้ำร้อยละ 99 เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำร้อยละ 98 เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำร้อยละ 135