พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ประปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) กล่าวว่า ศปภ.จะพยายามรักษาพื้นที่กรุงเทพฯ ไว้ให้ได้อย่างสุดความสามารถ โดยเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวัง คือ ในช่วงที่น้ำเหนือจะไหลมาบรรจบที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูงสุดในวันที่ 14-17 ต.ค.นี้ รวมถึงในช่วงวันที่ 28-31 ต.ค. ที่น้ำทะเลจะหนุนสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งหากไม่มีพายุเข้ามาช่วงเวลาดังกล่าว ก็ไม่น่าห่วงมากนัก
ทั้งนี้ คาดว่าน้ำมวลใหญ่จะเข้ามาถึง กทม.ในวันที่ 15 ต.ค.นี้
ผู้อำนวยการ ศปภ. ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกมากเกินไปนัก ซึ่งหากประเมินเป็นตัวเลขขณะนี้มั่นใจ 50% แต่จะรักษาสถานการณ์ให้ได้ พร้อมกันนี้จะเร่งในการผันน้ำออกตามแนวพื้นที่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของกรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุด โดยพื้นที่ฝั่งตะวันออกที่ต้องได้รับผลกระทบประกอบด้วยพื้นที่เขตสายไหม, มีนบุรี, หนองจอก ลาดกระบัง รวมไปถึง จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.สมุทรปราการ
ส่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตกจะไหลออกไปยัง จ.ปทุมธานี นนทบุรี และอาจถึงนครปฐม, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม ซึ่งขณะนี้พื้นที่กทม.เป็นพื้นที่ที่ถูกล้อมจากมวลน้ำทั้งหมดที่ไหลมาจากภาคกลาง ซึ่งรัฐบาลต้องเพิ่มความแข็งแรงของแนวคันกั้นน้ำทั้ง 3 จุด โดยรอบกทม. คือ ย่านเมืองเอก ย่านตลิ่งชัน(หลัง ม.มหิดล) และรังสิต คลอง 5
พล.ต.อ.ประชา กล่าวถึงการใช้เรือดันน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลว่า รัฐบาลมีความต้องการใช้เรือถึง 5,000 ลำ จากที่การดำเนินการขณะนี้ที่ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์มีอยู่เพียง 800 ลำ
สำหรับจุดจอดรถฉุกเฉินนั้น ได้มีการเตรียมสถานที่ไว้เพิ่มเติม คือ ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี อีกประมาณ 5,000 คัน ขณะเดียวกันยังสามารถรองรับผู้อพยพได้อีกราว 2-3 หมื่นคน นอกเหนือไปจากจุดจอดรถภายในสนามบินดอนเมืองประมาณ 5,000 คัน และจุดจอดรถที่สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 5,000 คัน