ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง มีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลหลากจากพื้นที่น้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ลงสู่พื้นที่ของอ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี อย่างต่อเนื่องนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยจากปัญหาน้ำท่วม กรมชลประทาน จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมตามสถานีสูบน้ำต่างๆ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำเจ้าพระยา รวม 30 เครื่อง
รวมทั้งได้เร่งติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำในคลองสายต่าง ๆ บริเวณพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ คลองงิ้วลาย คลองทรงคะนอง คลองท่าข้าม คลองสุนัขหอน คลองสหกรณ์ 2 และคลองแสมดำ ทั้งนี้เพื่อช่วยผลักดันน้ำให้ไหลออกสู่ทะเลได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และจังหวัดฉะเชิงเทรา ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเรือผลักดันน้ำในคลองสายต่างๆ เพื่อเร่งระบายน้ำอีก 63 เครื่อง และร่วมกันดำเนินการกำจัดวัชพืชและขุดลอกคลองต่างๆ อาทิ คลองลาดกระบัง คลองบางโฉลง คลองจระเข้ใหญ่ คลองจระเข้น้อย คลองเสาธง-เพชรวิชัย คลองพระองค์ไชยานุชิต คลองพระยาสมุทร และคลองพระยาอรรคราช เป็นต้น เพื่อให้น้ำสามารถเดินทางและระบายออกสู่ทะเลได้เร็วยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถเร่งดำเนินการตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์นี้
สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (14 ต.ค.) กรมชลฯ ระบุว่า ขณะนี้กรมชลประทานลดการระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกเหลือ 38 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่าน จ. อยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ และได้เพิ่มการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันตก เป็น 721 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวได้ดำเนินการขุดลอกคลอง และติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติม