น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ยังเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในที่มีความเสี่ยงถึง 50:50 ที่จะมีน้ำท่วมขัง แต่ทั้งนี้หากสามารถรักษาแนวป้องกัน 3 จุดรอบกรุงเทพฯ ก็พร้อมให้ความมั่นใจเกิน 50% ที่จะปกป้อง กทม.ชั้นในได้
ส่วนการประเมินสถานการณ์ที่น้ำจะสูงสุด 2.75 เมตร ขณะที่คันกั้นน้ำเจ้าพระยารองรับได้ 2.50 เมตรนั้น ยอมรับว่า หากปริมาณน้ำทะเลหนุนสูงก็อาจมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ได้ ซึ่งจะประสานกับกทม.ในการเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ดี ต้องขอรอดูสถานการณ์วันต่อวัน และขอให้ประชาชนเตรียมความพร้อมในการอพยพย้ายสิ่งของไว้ล่วงหน้า เพราะหากเกิดน้ำท่วมขัง อาจต้องใช้ระยะเวลานาน 2-4 สัปดาห์ ขณะเดียวกันมั่นใจว่าจะป้องกันสนามบินสุวรรณภูมิไว้ไม่ให้ถูกน้ำท่วมได้
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้ยาก เพราะน้ำมีปริมาณมากและมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา แต่จะทำให้น้ำผ่านไปเร็วที่สุด สำหรับการแจ้งเตือนให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่นั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำงานอย่างรัดกุม แต่จะพยายามแจ้งเตือนให้ได้อย่างน้อย 3ชั่วโมง ถึง 1 วัน และเพื่อความไม่ประมาทของให้ชาว กทม.ยกสิ่งของและทรัพย์สินมีค่าไว้บนที่สูง ดูแลเรื่องระบบไฟฟ้า ส่วนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่ำน้ำท่วมสูง ก็ขอให้ย้ายไปอยู่ในศูนย์พักพิง
นายกรัฐมนตรี ยืนยันที่จะไม่ย้ายที่ทำการของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ที่ตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังสามารถเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่ และจะขอเป็นหน่วยสุดท้ายที่จะย้ายออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง
ส่วนการแก้ไขปัญหาสินค้าขาดแคลนใน กทม.นั้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากโกดังสินค้าถูกน้ำท่วม ซึ่งรัฐบาลได้แก้ไขโดยให้ดอนเมืองเป็นจุดกระจายสินค้า รวมทั้งที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลุบรี และจังหวัดนครราชสีมา และส่งกำลังเข้าไปช่วยขนถ่ายสินค้าที่จมอยู่ในน้ำโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ชีนุกเข้าไปขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์มายังจุดกระจายสินค้า
ทั้งนี้รัฐบาลจะเร่งผ่อนปรนการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นจากต่างประเทศโดยเร็วที่สุด คาดภายใน 1 สัปดาห์สถานการณ์สินค้าขาดแคลนจะคลี่คลาย
ในส่วนของน้ำดื่มนั้น ได้สั่งการให้การประปานครหลวง(กปน.) เสริมเครื่องกรองน้ำให้กับประชาชนไปใช่บริโภค แต่เพื่อความปลอดภัยการบริโภคน้ำประปาควรต้มหรือกรองก่อน
สำหรับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ดูแลรับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลยอมรับว่าเป็นห่วงแต่จะมีการทำงานแบบบูรณาการกับทางกองทัพ เพื่อให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น