ฝ่ายประชาสัมพันธ์ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) แจ้งว่า เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยานำเครื่องจักรหนักเข้าซ่อมแซมจุดที่น้ำกัดเซาะแนวกำแพงดินป้องกันน้ำท่วม บนถนนอู่ทอง จนทำให้น้ำไหลเข้าท่วมในเขตเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยจุดแรกที่ดำเนินการคือ บริเวณชุมชนหัวแหลม ม.1 ต.ท่าว่าสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ใช้รถแบ๊คโฮยกท่อซีเมนต์ขนาด 1 เมตรวางขวางไปจุดที่แนวคันดินขาดเพื่อชะลอน้ำจากคลองคูเมือง ซึ่งรับน้ำมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาให้ไหลเข้าน้อยที่สุด
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่วางแนวท่อซีเมนต์ 5 จุด หลังจากนั้นจะใช้หินคลุกเทปิดทับอีกชั้นเพื่อไม่ให้น้ำไหลซึมเข้ามา และจุดต่อไปเจ้าหน้าที่จะอุดบริเวณคลองมหาไชย เขตตลาดหัวรอ ซึ่งเป็นอีกจุดที่น้ำกัดเซาะแนวกำแพงดินขาดลง แต่กระแสน้ำจุดดังกล่าวไหลแรง คาดว่าจะต้องใช้เวลาอุดรอยรั่วไม่ต่ำกว่า 2 วันระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะเริ่มสูบน้ำในเขตเกาะเมืองออกทั้งหมด น่าจะใช้เวลารวมไม่ต่ำกว่า 20-25 วันน้ำในเขตเกาะเมืองจึงจะแห้ง
ว่าที่ร้อยตรีสมทรง สรรพโกศลกุล นายกเทศมนตรีนครพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า หากเทศบาลไม่ดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าว และปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คงจะต้องใช้เวลา 2 เดือนกว่าที่น้ำในเขตเกาะเมืองจะลดลง คณะทำงานจึงตัดสินใจกู้เกาะเมือง เพราะเข้าใจว่าประชาชนต้องการกลับเข้าไปดูความเสียหายในบ้าน ซึ่งต้องขอความร่วมมือประชาชนที่อยู่นอกเขตคันกั้นน้ำอดทนกับน้ำท่วมอีกสักระยะ เพื่อให้ในเขตเกาะเมืองและย่านเศรษฐกิจกลับมาเหมือนเดิม และเมื่อถึงเวลานั้นประชาชนทุกคนก็สามารถหาซื้อของกินของใช้ ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องเสียเงินค่าเรือรับจ้างออกมานอกฝั่งเกาะเมือง
อย่างไรก็ตาม การดูแลความเสียหายโบราณสถานนั้น ล่าสุดได้นำไม้ไผ่มาผูกติดรวมกัน หรือที่เรียกว่าแผงลูกบวบ วางขนานแนวถนนโรจนะ เพื่อชะลอคลื่นจากเรือรับจ้างไม่ให้กระแทกเข้ากับตัวโบราณสถานโดยตรง และคาดว่าหากยังมีการวิ่งเรือรับจ้างด้วยความเร็วต่อไปอีก ก็อาจจะเป็นปัญหากับตัวโบราณสถาน
นายสุพจน์ พรหมมาโนช ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ทราบว่าโบราณสถานจุดใดจะได้รับความเสียหายบ้าง ต้องรอน้ำลดระดับลงก่อน เพราะส่วนใหญ่ที่จะมีปัญหาคือ ฐานรากของตัวโบราณสถานเท่านั้น