นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ยืนยันว่า แม้จะเกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ แต่การขนส่งน้ำมันจะไม่ขาดแคลน เพราะได้ใช้คลังน้ำมันคลองเตย พระโขนง บางจาก สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสระบุรี เป็นที่ขนส่งทดแทนคลังลำลูกกาและคลังบางปะอิน ประกอบกับมีข่าวดีที่ปริมาณน้ำรอบคลังน้ำมันทั้ง 2 แห่งเริ่มลดลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลดีสำหรับการขนส่งน้ำมันทางท่อ คือ ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมจึงสามารถกระจายน้ำมันไปได้ทั่วประเทศ ดังนั้นการผลักดันโครงการสร้างท่อน้ำมันจากสระบุรีไปยังสายเหนือ(พิษณุโลก-ลำปาง) และสายอีสาน(นครราชสีมา-ขอนแก่น) เงินลงทุนอีก 15,000 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่น่าลงทุน โดยขณะนี้ บมจ.ปตท.(PTT) กำลังศึกษารูปแบบการลงทุน
สำหรับปัญหาน้ำท่วมได้ส่งผลให้คลังน้ำมันปิดชั่วคราว 352 แห่ง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) 124 แห่ง สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) 121 แห่ง และสถานีบรรจุแอลพีจี 22 แห่ง และในส่วนของพื้นที่ที่น้ำลดลงแล้ว เช่น ชัยนาท, ลพบุรี, นครสวรรค์ ทางกรมฯได้ใช้รถโมบายยูนิตไปตรวจสอบคุณภาพปั๊ม และในขณะนี้ได้กลับมาเปิดบริการแล้ว 47 แห่ง
ด้านนายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า ยอดการจำหน่ายน้ำมันในภาพรวมทั้งประเทศของปตท.ลดลงเพียงเล็กน้อย หรือประมาณ 2-3% แต่ยอมรับว่าในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมในขณะนี้มียอดการจำหน่ายน้ำมันลดลง
โดยน้ำมันเบนซินลดลง 20% ดีเซล 10% เนื่องจากสถานีบริการน้ำมันกว่า 120 แห่งต้องปิดให้บริการ ส่วนสถานีบริการเอ็นอีจีวี ก็มีปิดกิจการหลายแห่ง เพราะสถานีแม่ต้องปิดให้บริการ 7 แห่งจาก 11 แห่ง หรือทำให้ความสามารถในการจ่ายเอ็นจีวีหายไป 1 ใน 3 ของการจ่ายเอ็นจีวีทั้งหมด แต่ ปตท.ก็ได้เร่งแก้ปัญหาด้วยการนำเอ็นจีวีจากฝั่งตะวันออกเข้ามาให้บริการเสริมแล้ว