น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าหนักใจกับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยต้องเผชิญศึก 2 ด้าน ทั้งปริมาณน้ำจำนวนมาก และปัญหามวลชน แต่มองว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นความทุกข์ใจของประชาชนที่มาจากความเครียด ซึ่งรัฐบาลอยากให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมที่จะเยียวยาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ได้กำชับให้ส.ส.แต่ละพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชน
ทั้งนี้ยอมรับว่า รัฐบาลได้พิจารณากฎหมายพิเศษไว้รองรับ หากเกิดปัญหามวลชนทำลายแนวคันกั้นน้ำ แต่เบื้องต้นผู้ว่าราชการทุกจังหวัดยังสามารถใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในการควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดทำความเข้าใจกับประชาชน และประชาสัมพันธ์ว่าหากยังมีความพยายามทำลายคันกั้นน้ำก็จะยิ่งทำให้น้ำไหลทะลักแรงมากขึ้น
ขณะเดียวกันยืนยันว่าพร้อมจะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการทำฟลัดจ์เวย์ซึ่งจะมอบให้คณะกรรมการฟื้นฟูระบบน้ำอย่างถาวรรับไปพิจารณา แต่เบื้องต้นจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาและบูรณาการถนนหนทางต่างๆ ให้เปิดใช้งานตามปกติ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมว่า ขณะนี้จะต้องเร่งอุดรอยรั่วตามแนวคันกั้นน้ำในฝั่งตะวันตกให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 13 พ.ย.นี้ ส่วนทางฝั่งตะวันออกจะเร่งระบายน้ำออกทางคลองสามวา และคลองหกวาสายล่าง รวมถึงการนำกระสอบทรายขนาดใหญ่ หรือบิ๊กแบ็คไปกั้นด้านตอนเหนือของกรุงเทพฯ บริเวณประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ รวมถึงการที่กรุงเทพมหานครได้เร่งระบายน้ำออกเต็มที่ ก็จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขณะนี้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชะลอน้ำจากทางตอนเหนือที่ไหลลงมาในขณะนี้ จะขอติดตามผลของการนำบิ๊กแบ็คที่กั้นตามแนวถนน Local Road ซึ่งคาดว่าพรุ่งนี้จะแล้วเสร็จ พร้อมทั้งจะติดตามผลของคณะกรรมการที่ดูแลการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ซึ่งหากลดระดับการเปิดประตูระบายน้ำลงได้จะมีส่วนช่วยในการชะลอน้ำที่ไหลมาจากทางตอนเหนือได้
ส่วนการย้ายสถานที่ทำการของศูนย์ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่า ได้มีการพิจารณาสถานที่สำรองแห่งใหม่ของ ศปภ.ไว้ แต่ขณะนี้ยังยืนยันว่าจะยังไม่ย้ายออกจากอาคารเอ็นเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดีรังสิต
"ในศปภ.มีทางเชื่อมลงมาได้ จะรอดูผลการกั้นบิ๊กแบ็ค ยังไม่ย้าย แต่ก็ดูอยู่ แต่ไม่อยากย้าย อยากขอสู้อยู่" นายกรัฐมนตรี ระบุ