ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพินิจ จันทร์ณรงค์ กับพวกแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง รวม 7 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน / ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ และฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หลังถูกตำรวจจับกุมได้ขณะก่อความวุ่นวาย เผาและขโมยทรัพย์ภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยจำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพ เฉพาะข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า แม้คดีนี้เจ้าหน้าที่จะสามารถจับกุมจำเลยทั้ง 7 คน ได้ในที่เกิดเหตุขณะก่อความวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยทั้ง 7 คน เป็นผู้ใช้อาวุธปล้นทรัพย์ หรือต่อสู้ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังไม่มีทรัพย์สินของกลางที่ยืนยันความผิดของจำเลย คงมีเพียงนายคมสันต์ สุดจันทร์ฮาม จำเลยที่ 3 ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำห้างจับกุมพร้อมแบตเตอร์รี่และโทรศัพท์มือถือที่ขโมยมาจากร้านค้าภายในห้าง
ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าจำเลยที่เหลือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ และใช้อาวุธต่อสู้เจ้าพนักงาน แม้จะสามารถตรวจยึดกระสุนปืนเอ็ม 60 จำนวน 100 นัด ได้ภายในห้าง แต่ตำรวจก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอาวุธดังกล่าวเป็นของจำเลย จึงพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 7 คน มีความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงโทษจำคุก 1 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงโทษจำคุก 6 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ลงโทษจำคุก 3 ปี รวมโทษทั้งหมด จำคุก 3 ปี 6 เดือน และให้คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย ส่วนข้อหาอื่นให้ยกคำร้อง