ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่ให้การคุ้มครองชั่วคราวกับเจ้าของรีสอร์ทที่บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ที่ขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างก่อนศาลมีคำพิพากษา โดยเจ้าของรีสอร์ทฯ ดังกล่าวได้นำเรื่องมายื่นฟ้องหัวหน้าอุทยานทับลาน และผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2(ปราจีนบุรี)
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทฯ ให้การรับสารภาพต่อศาลกบินทร์บุรีว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องในข้อหาร่วมกันยึดถือครองครองทำประโยชน์และอาศัยอยู่ในที่ดิน ก่อสร้าง หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2504 ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีพิพากษาว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิดจริงตามฟ้อง และชั้นพิจารณาคดีอาญาที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของผู้ฟ้องคดีทั้งสามไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าที่ดินที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตอุทยานแห่งชาติตามคำร้องจึงมีคำพิพากษายกคำร้อง
เท่าที่ปรากฎจากคำฟ้องและการไต่สวนจึงยังฟังไม่ชัดเจนว่าคำสั่งและคำวินิจฉัยผู้ถูกฟ้องคดี น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการพิจารณาว่าคำสั่งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นเป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยต่อไป และการให้คำสั่งทางปกครองดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปก็ไม่เป็นเหตุทำให้เกิดึความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังแก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากผู้ฟ้องคดีอาจขอให้ศาลกำหนดให้ชดใช้ค่าเสียหายแทนได้
อีกทั้งปัจจุบันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณใกล้ที่ดินพิพาทคดีนี้ไปแล้วจำนวน 48 ราย(ในเขตจังหวัดปราจีนบุรี 36 ราย และจังหวัดนครราชสีมาอีก 12 ราย)หากศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวก็อาจทำให้เกิดปัญหาการโต้แย้งการออกคำสั่งอื่นๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 การให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ
"ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม"คำสั่งศาลปกครองกลาง ระบุ
คดีนี้มีนายศักดา พิภพศิริรัตน์ หรือนายกิตินันท์ ธนดลเสถียร, นางปราณีหรือปรานี วุฒิกานากร และบริษัท เอ.บี.พี.เอ็นเตอร์ไพรส์ ร่วมเป็นผู้ฟ้องคดี