สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน (EIA) ของสหรัฐเผยแพร่รายงานแนวโน้มพลังงานประจำปี ระบุว่า การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติภายในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก
สำนักข่าวซินหัวเปิดเผยรายงานฉบับดังกล่าวว่า ในปี 2550 สหรัฐมีการผลิตน้ำมันดิบภายในประเทศ 5.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก่อนจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2553 และคาดว่าในปี 2563 จะเพิ่มปริมาณขึ้นเป็น 6.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา
รายงานระบุด้วยว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น โดยก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานมีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตในปี 2553 และจะเพิ่มเป็น 13.6 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตในปี 2578 หรือเกือบครึ่งหนึ่งของการผลิตก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของประเทศเลยทีเดียว
แนวโน้มดังกล่าวจะหนุนให้สหรัฐกลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติสุทธิในปี 2564
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ปริมาณการใช้พลังงานกลับส่งสัญญาณซบเซา โดยความต้องการใช้ไฟฟ้า ซึ่งคิดเป็น 40.3% ของการใช้พลังงานทั้งหมด คาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.8% ระหว่างปี 2553-2578 ส่วนความต้องการด้านการคมนาคมขนส่ง ซึ่งคิดเป็น 28.1% น่าจะขยายตัวเพียง 0.2%
นอกจากนี้ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดปริมาณการใช้พลังงานต่อหัวลงเฉลี่ยปีละ 0.5%
“ความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นเพียงปานกลาง บวกกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น และการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ปิโตรเลียม ทำให้เราคาดว่า การนำเข้าปิโตรเลียมสุทธิจะลดลงเหลือ 36% ในปี 2578 จากปี 2548 ที่สูงถึง 60%" ฮาเวิร์ด เกรนสเปตช์ รักษาการผู้บริหารของ EIA กล่าว
ทั้งนี้ รายงานแนวโน้มพลังงานประจำปีฉบับเต็มมีกำหนดเผยแพร่วันที่ 26 เม.ย. 2555