พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ร่วมแถลงข่าวกรณีเหตุระเบิดที่ ซ.ปรีดีพนมยงค์ วานนี้ว่า จากเหตุที่เกิดขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สมช.เรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหม ในการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งพบว่าวัตถุระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุรวมถึงที่ตรวจพบได้มุ่งเป้าหมายสังหารบุคคล เพราะอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้มีอานุภาพร้ายแรงมากพอที่จะก่อวินาศกรรมหรือทำลายล้างสถานที่สำคัญต่างๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ยืนยันชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายมีเป้าประสงค์จะก่อการร้ายในประเทศไทย และยังไม่ยืนยันชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายที่ประเทศอินเดีย และจอร์เจียหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ และสืบสวนสอบสวนหาหลักฐานต่อไป
เลขาธิการ สมช. คาดว่ากลุ่มคนร้ายมีทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน ซึ่งทั้งหมดถือพาสปอร์ตประเทศอิหร่าน โดยขณะนี้สามารถจับกุมได้แล้ว 3 คน คือ คนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บขาขาด, คนร้ายชายที่ถูกจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และคนร้ายที่เป็นหญิงที่เช่าบ้านอยู่ที่ ซ.ปรีดีฯ ส่วนคนร้ายอีกคนคาดว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว และอาจไปกบดานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทางการไทยกำลังประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ทั้งนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า คนร้ายทั้งหมดเดินทางมาถึงประเทศไทยโดยมาอาศัยที่ จ.ภูเก็ต ก่อนจะเดินทางไปพัทยาเมื่อวันที่ 8 ก.พ. และจากนั้นจึงเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ก่อนที่จะเข้ามาซุ่มทำอุปกรณ์ประกอบระเบิด และเกิดเหตุระเบิดขึ้นเมื่อวาน
พล.ต.อ.วิเชียร ยอมรับว่า ประเทศไทยยังมีจุดอ่อนในเรื่องการตรวจตรานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ซึ่งเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะความต้องการที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติให้เข้ามาเดินทางเข้ามาในประเทศเพื่อสร้างรายได้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศ
"ประเทศไทยมีจุดอ่อนเรื่องการเปิดรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ เพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจ แต่ยืนยันว่าฝ่ายความมั่นคงมีมาตรการดูแลคนเข้า-ออกประเทศ ดูแลแนวชายแดนอย่างเข้มแข็ง ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ และมั่นใจว่ามาตรการเข้มงวดทุกสนามบินของไทยมีความเข้มแข็ง" เลขาธิการ สมช.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากที่หลายประเทศประกาศเตือนพลเมืองให้ระวังเหตุก่อการร้ายในไทยช่วง 14-15 ก.พ.55 แต่รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยเชื่อมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นนั้น พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า สถานการณ์ในโลกมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ และมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มก่อการร้ายมองเห็นว่าไทยเป็นประเทศเปิด จึงใช้ช่องว่างนี้เข้ามาเป็นฐานก่อเหตุ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงทูตของประเทศต่างๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้ความมั่นใจว่ามาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยของไทยยังมีความเข้มแข็ง แม้ขณะนี้จะมีบางประเทศ เช่น อังกฤษ และสหรัฐฯ กลับมาประกาศเตือนพลเมืองให้ระวังการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยอีกครั้ง
ทั้งนี้ ต้องขอบคุณประชาชนที่แจ้งเบาะแสต่างๆ เข้ามาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงทำให้สามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว และขอฝากถึงประชาชนว่าหากพบเห็นบุคคลต้องสงสัย หรือมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีเพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น
ด้าน พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า คนร้ายที่ยังหลบหนีอีก 1 คนนั้น คาดว่าจะเดินทางหลบหนีในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งวันนี้คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถอนุมัติหมายจับได้ และจะได้ติดต่อประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอตัวคนร้ายกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยต่อไป
อย่างไรก็ดี จากนี้จะต้องตรวจสอบรายละเอียดว่าที่ผ่านมาคนร้ายกลุ่มเหล่านี้เดินทางเข้า-ออกประเทศไทยมากี่ครั้ง รวมทั้งต้องตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ประกอบระเบิดต่างๆ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รวมถึงแถบแม่เหล็กที่ตรวจในชิ้นส่วนระเบิดที่พบตกอยู่ทั้งหน้า รร.เกษมพิทยา และบ้านเช่าของคนร้ายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในประเทศอินเดีย และจอร์เจียหรือไม่