นายชวลิต จันทรรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีมกรุ๊ป ระบุหากปีนี้มีสถานการณ์อุทกภัยเกิดขึ้นอีกจะไม่รุนแรงเหมือนช่วงปลายปี 54 เนื่องจากคาดว่าในปีนี้มีปริมาณน้ำอยู่ราว 2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) น้อยกว่าปีก่อนที่มีปริมาณน้ำอยู่ราว 3.5 หมื่นล้าน ลบ.ม. อีกทั้งรัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพร่องน้ำออกสู่ทะเล พร้อมทั้งเริ่มดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การหาพื้นที่รับน้ำ การปรับปรุงคูคลองเพื่อเป็นทางระบายน้ำตามธรรมชาติ นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลเร่งประกาศความชัดเจนเรื่องการก่อสร้างถนนมุ่งไปยังพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานโดยตรง
"ตอนนี้เรื่องวงเงินต่างๆ ก็ได้รับการอนุมัติ เรื่องงบประมาณจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นห่วงคือเรื่องเวลา เพราะโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลกำหนดไว้ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควร อยากให้หน่วยงานทุกฝ่ายทุ่มกำลังในการาบริหารจัดการอย่างเต็มที่" นายชวลิต กล่าว
ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย(SCC) กล่าวว่า ขณะนี้แผนบริหารจัดการเรื่องน้ำท่วมของรัฐบาลเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือรัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งอยากให้รัฐบาลชี้แจงรายละเอียดแต่ละโครงการว่าจะใช้เวลามากน้อยเพียงใด ใช้งบประมาณเท่าไหร่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่อยากให้นักลงทุนกังวลเรื่องปัญหาน้ำท่วมมากเกินไป อยากให้มองถึงศักยภาพของประเทศไทยที่ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะในปีนี้รัฐบาลได้ประกาศปรับลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 23% จากเดิม 30% ซึ่งจะเป็นจุดดึงดูดนักลงทุนสำคัญ
ขณะที่นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะประสบปัญหาอุทกภัย แต่อยากให้นักลงทุนมองในเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่จะเติบโต เนื่องจากสถาบันการเงินในประเทศมีฐานเงินทุนมากประเทศหนึ่งในโลก ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นจุดเด่น การส่งออกที่แข็งแกร่ง และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน และหากในอนาคตสามารถเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมไปยังประเทศจีนและอินเดียได้แล้วจะทำให้มีตลาดเพิ่มอีกราว 2 พันล้านคน ซึ่งถือว่ามีโอกาสที่จะทำธุรกิจได้อีกมาก