น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลจะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสมาปรับใช้กับการระบายน้ำในเขื่อน โดยจะมีการตรวจสอบระดับน้ำแบบวันต่อวัน และต้องพิจารณาให้การระบายน้ำเอื้อต่อการทำการเกษตรด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่จะต้องมีการรักษาระดับน้ำในเขื่อนให้อยู่ในระดับ 45% ทุกเขื่อน ที่กำหนดไว้มีเพียงเขื่อนภูมิพล และ เขื่อนสิริกิติ์เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น กรมชลประทานจะพิจารณาตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเข้ามารายงานพื้นที่ 2 ล้านไร่ที่จะใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในสิ้นเดือน ก.พ.นี้
พร้อมกันนี้ ยอมรับว่ามีการกำหนดแผนที่ฟลัดเวย์ขึ้นจริง แต่ยังไม่ใช่แผนที่จะใช้ระบายน้ำ แต่เป็นแผนที่ของพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ส่วนแผนที่ฟลัดเวย์เป็นการกำหนดเอาไว้ แต่วัตถุประสงค์หลักของการระบายน้ำ จะเน้นการระบายน้ำตามคู คลองเป็นหลัก และหากจำเป็นใช้ฟลัดเวย์ก็คงจะใช้น้อยมาก หรือใช้เท่าที่จำเป็น
นายกฯ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะลงไปติดตามการขุดลอกคูคลองในพื้นที่ กทม. และจะส่งทีมไปสำรวจในทุกๆจุด หรือ ทุกๆ คลองที่มีความสำคัญ ซึ่งยอมรับว่าในส่วนของพื้นที่ กทม.ยังดำเนินการได้ไม่มาก
ส่วนปัญหาที่ยังน่าเป็นห่วงในขณะนี้ เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุก่อสร้างเพื่อนำมาใช้ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลางพิจารณาปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงิน แต่ต้องให้สามารถตรวจสอบได้และมีความโปร่งใส
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประกาศเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จะปลูกป่าเป็นวาระที่จะดำเนินการร่วมกันอย่างบูรณาการ ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน
โดยจะแยกประเภทของไม้ที่จะปลูกป่าไว้ 2 ประเภท คือ ไม้เนื้ออ่อนซึ่งเป็นไม้โตเร็ว และไม้เนื้ออ่อนซึ่งเป็นไม้โตช้า โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม ศึกษาธิการ มาร่วมเป็นผู้ขับเคลื่อนในการปลูกป่า
ส่วนกรณีการบุกรุกทำลายป่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นย้ำให้รัฐบาลสร้างมาตรการและส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเน้นย้ำการป้องกันและบุกรุกทำลายป่า
ส่วนการกักเก็บ-ระบายน้ำจากเขื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น คณะรัฐมนตรีได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสมาปฏิบัติ โดยได้ให้รายงานปริมาณน้ำในเขื่อนทุกเดือน ซึ่ง ณ สิ้นเดือนก.พ.จะต้องมีปริมาณน้ำในเขื่อน 70% และเดือนมี.ค.อยู่ที่ 60%
สำหรับการระบายน้ำทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความเป็นห่วงว่าจะต้องดำเนินการอย่างสมดุล และบริหารจัดการน้ำขึ้นน้ำลง โดยการระบายน้ำในบางพื้นที่อาจจะต้องใช้วิธีขุดลอกท่อ แต่บางพื้นที่อาจต้องใช้การท่อลอดในกรณีที่มีสิ่งกีดขวาง และเร่งสูบน้ำไปยังสถานีระบายน้ำโดยเร็วที่สุด