นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงในหลายๆเรื่อง เช่น กรณีคานโฮปเวลล์พังถล่ม โดยนายกรัฐมนตรีสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความพร้อมของโครงสร้างโฮปเวลล์ เนื่องจากมีการวางแผนจะใช้โครงสร้างบางจุดของโฮปเวลล์ทำโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง รวมทั้งตรวจดูความพร้อมและความปลอดภัยทั้งหมด
ส่วนปัญหาหมอกควันใน 9 จังหวัดภาคเหนือ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับผิดชอบ โดย รมว.ทรัพยากรฯ ได้แจ้งว่า ได้พูดคุยและแบ่งงานให้กับผู้ว่าราชการทั้ง 9 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว และให้รายงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความคืบหน้าทั้งหมดของปัญหา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลบังคับใช้พ.ร.บ.สาธารณสุขให้ได้ผลเต็มที่ และ พ.ร.บ.จราจรทางบกที่ห้ามเผาบนพื้นที่ของทางหลวง บนถนนต่างๆ รวมถึงมาตรา 220 เกี่ยวกับผู้ที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ กำชับให้บังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้กรมป่าไม้ เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ ให้ทำงานร่วมกันทั้งหมด และใช้ดาวเทียมเพื่อดูความคืบหน้าของสถานการณ์
ขณะที่นายวิทยา บูรณศิริ รมว.สาธาธารณสุข เสนอให้ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ เพราะอาจจะมีมาตรการช่วยเหลือดูแลได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้สั่งให้กระทรวงต่างประเทศหารือกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากผลกระทบส่วนใหญ่เกิดจากประเทศเพื่อนบ้าน
นายภักดีหาญส์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์สรี เลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้รายงานนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความขัดแย้งในประเทศอิสราเอล อิหร่าน และ เหตุระเบิดที่สุขมวิท 71 ซึ่งพบว่า พบผู้ต้องหาทั้งหมด 5 รายเกี่ยวพันกับการติดต่อพูดคุยกันที่อิหร่านและมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ด้วยการตรวจตราหนังสือเดินทางอย่างเคร่งครัด มาตรา 38 ของพ.ร.บ.คนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด