สหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเพื่อตอบโต้ "การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง" ในประเทศดังกล่าว
แถลงการณ์ที่ออกโดยสภากิจการต่างประเทศของอียูระบุว่า อียูได้เพิ่มรายชื่อผู้ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง 17 ราย โดยสั่งห้ามการเดินทางและอายัดทรัพย์สิน
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้จำนวนผู้ที่ถูกคว่ำบาตรเพิ่มขึ้นเป็น 78 ราย นอกจากนี้อียูยังสั่งห้ามการส่งออกอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์ที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการติดตามหรือสกัดการติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์โดยทางการอิหร่าน โดยมาตรการทั้งหมดของอียูมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 13 เมษายน 2556
"อียูยังคงมีความวิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลงในอิหร่าน" แคเธอรีน แอชตัน หัวหน้ากิจการต่างประเทศของอียูกล่าวในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง
แอชตันกล่าวเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ว่า เธอยอมรับข้อเสนอของอิหร่านที่จะหาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ที่เป็นกรณีพิพาทของประเทศ แต่นายอาลี ลาริจานี โฆษกรัฐสภาอิหร่านกล่าวในวันที่ 8 มี.ค.ว่า การเจรจานิวเคลียร์ในอนาคตระหว่างอิหร่านและชาติมหาอำนาจจะสิ้นสุดลงโดยไม่มีผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์หากชาติตะวันตกยังคงกดดันอิหร่าน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ชาติตะวันตกกล่าวหาว่าอิหร่านกำลังพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวพร้อมระบุว่าโครงการนิวเคลียร์มีขึ้นเพื่อใช้ในทางสันติ