น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เรื่องการติดตามและประเมินผลโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายการติดตามประเมินผลโครงการ ว่า หลังรัฐบาลอนุมัติงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนเพื่อเตรียมป้องกันอุทกภัยที่กำลังจะมาถึง ซึ่งหากมีการติดตาม และมีประสิทธิภาพในการจัดการ ก็เชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการเลวร้ายเหมือนปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นอกจากการซ่อมแซม การขุดลอกคูคลอง การการติดตามการทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นกลไกที่รัฐบาลต้องใช้ในการติดตามความคืบหน้าในช่วง 1-2 เดือนนี้ โดยหลักจะต้องติดตามทุกโครงการของรัฐบาล รวมทั้งการใช้ระบบสาระสนเทศ จีพีเอส กำหนดจุด และต้องไปติดตามปัญหาในแต่ละพื้นที่ด้วย
นอกจากนี้ ยังขอให้ความสำคัญกับการซ่อมแซมเครื่องจักร อุปกรณ์ ประตูระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำว่า พร้อมใช้งานหรือไม่ รวมถึงความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำ เช่นเดียวกับความเป็นอยู่ของประชาชนว่าได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการนำข้อมูลในแต่ละส่วนมาบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการนำไปใช้ นอกจากนี้ ข้อมูลของผู้ตรวจราชการที่จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยที่จะลงไปติดตามประเมินผลโครงการต่างๆ จะนำมาบันทึกลงในแผนที่ที่กรรมการจัดการบริหารอุทกภัย (กบอ.)ได้วางแผนไว้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการตรวจสอบว่าการแก้ปัญหาในส่วนใดสำเร็จแล้ว และพื้นที่ใดต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญ ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังเป็นครึ่งปีที่สำคัญของประเทศที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา
ด้านนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ยึดแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมตามแนวพระราชดำริ และสั่งการให้หน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม และจังหวัดในพื้นที่ประสบอุทกภัย จัดทำแผนงานโครงการป้องกันปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่สมบูรณ์และถาวรสำหรับประเทศไทย ซึ่งโครงการต่างๆได้ถูกแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ โครงการระยะเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จภายในกลางปีนี้เพื่อพร้อมรับมือกับฤดูฝนและโครงการระยะยาว
สำหรับโครงการระยะเร่งด่วน รัฐบาลต้องฟื้นฟูและสร้างเสริมสาธารณูปโภคด้านต่างๆ เช่น การซ่อมแซมถนน การฟื้นฟูแหล่งเก็บน้ำ ขุดลอกคูคลอง ทำคันกั้นน้ำเป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินโครงการต่างๆประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ รัฐบาลจึงมีการตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามรายงานความคืบหน้า พร้อมรายงานปัญหาอุปสรรค เพื่อให้ความช่วยเหลือ แก้ไขและสนับสนุน พร้อมมีมติ ครม.จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการ อย่างไรก็ตามการติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการจะเชื่อมโยงกับระบบงานของ กบอ. อย่างไรก็ตามการลงนามครั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ขณะที่นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการขุดลอกคูคลองของกองบัญชาการทหารบกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 27 เขต ทั้งหมด 277 สาย ซึ่งใช้งบประมาณจำนวน 770 ล้านบาทว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการขุดลอกคูคลองไปแล้ว 65 สาย อยู่ระหว่างการขุด 126 สาย ยังไม่ได้ขุด 86 สาย และมีความก้าวหน้าในการดำเนินงาน 55.17% รวมระยะทาง 278 กิโลเมตร จากทั้งหมด 561 กิโลเมตร ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ 5.93%
ขณะเดียวกันกองบัญชาการทหารบกยังดำเนินการเกี่ยวกับการฟื้นฟูแหล่งน้ำต่างๆ ด้วย ทั้งการปรับสภาพคลอง หนอง และบึง ทั้งหมด 55 แหล่งน้ำ โดยปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 4 แหล่งน้ำ อยู่ระหว่างดำเนินการ 21 แหล่งน้ำ และยังไม่ได้ดำเนินการ 30 แหล่งน้ำ ขณะนี้มีความก้าวหน้าไปแล้ว 17%
ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทยได้มีการดำเนินโครงการฟื้นฟูป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ใช้งบประมาณ 850 ล้านบาท ในการดำเนินการทั้งการฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำหลัก 18 จังหวัด เช่น แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ป่าสัก ท่าจีน และแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 156 โครงการ และลุ่มแม่น้ำชุมชน จำนวน 17 ลุ่มแม่น้ำ ประกอบด้วย แม่น้ำซี มูล ลุ่มแม่น้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออก และลุ่มแม่น้ำปัตตานี ทั้งหมดจำนวน 103 โครงการ ซึ่งขณะนี้การดำเนินการมีความก้าวหน้าไปแล้ว 37.99%
พร้อมยืนยันว่า การดำเนินการโครงการดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยตามนโยบายรัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จทันก่อนฤดูฝนจะมาถึงในช่วงเดือนพฤษภาคม 2555 นี้แน่นอน