ศาลปกครองสูงสุด นัดนั่งพิจารณาครั้งแรกในคดีสารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นคดีพิพาทระหว่างนายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ กับพวกรวม 22 คน ร่วมยื่นฟ้องกรมควบคุมมลพิษ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำการละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
โดยผู้ฟ้องคดีระบุว่า กรมควบคุมมลพิษไม่ตรวจสอบการประกอบกิจการบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ เนื่องจากบริษัทฯ ปล่อยน้ำเสียซึ่งมีสารตะกั่วเจือปนในลำห้วยคลิตี้ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีและราษฎรได้รับความเสียหาย โดยขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเข้าดำเนินการกำจัดมลพิษและฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ โดยเรียกค่าใช้จ่ายจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ฯ ผู้ก่อมลพิษในภายหลัง และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 พ.ค.51 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาว่า นับแต่มีการปนเปื้อนของสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ ผู้ถูกฟ้องคดีได้เข้าสำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำ ดิน และตะกอนดินท้องน้ำมาตรวจสอบจนถึงปัจจุบัน พบว่าระยะแรกมีการปนเปื้อนของสารตะกั่วสูงเกินมาตรฐาน เมื่อมีการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นต่อทรัพยากรน้ำและดินในบริเวณพิพาท โดยนับตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ดำเนินการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด แม้ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีจะมีหนังสือลงวันที่ 7 ธ.ค.50 ชี้แจงต่อศาลว่าอยู่ในระหว่างดำเนินการประเมินค่าเสียหายก็ตามแต่ก็เป็นการดำเนินการหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลและศาลออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว
กรณีจึงฟังได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ในการเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทฯ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ จึงพิพากษาว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่กรณีไม่ดำเนินการเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์(ประเทศไทย) จำกัด และปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูหรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วล่าช้าเกินสมควร และให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองคนแต่ละรายเป็นเงิน 33,783 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 743,226 บาท ทั้งนี้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด