สธ.เผยโครงการยาเก่าแลกไข่ในพื้นที่ กทม.มีประชาชนนำยามาคืนกว่าล้านเม็ด

พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เผยผลการดำเนินโครงการไข่ใหม่แลกยาเก่าในพื้นที่ กทม.ในช่วงวันที่ 23-27 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้ยาคืนกว่า 1 ล้านเม็ด

"มีประชาชนนำยาเก่ามาแลกไข่ใหม่จำนวน 78,584 ราย รวมยา 1,187,534 เม็ด ในจำนวนนี้เป็นยาที่หมดอายุแล้ว 56% ยาที่น่าจะยังไม่หมดอายุ 44% เมื่อวิเคราะห์กลุ่มยาที่ได้รับคืนมากที่สุดเป็นยารักษาความดันโลหิตสูง ยาเบาหวาน วิตามิน และยาแก้ปวด ตามลำดับ" พญ.วิลาวัณย์ กล่าว

โครงการดังกล่าวเปิดให้ประชาชนนำยาแผนปัจจุบันที่ไม่ได้ใช้แล้วมาคืน โดยตั้งจุดรับคืน 33 แห่งในโรงพยาบาลและสถาบันสังกัด สธ. 10 แห่ง รวมถึงชุมชน ห้างสรรพสินค้า และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส

"ยาที่ได้รับคืนทั้งหมด สธ.จะนำไปทำลาย ไม่มีการนำกลับมาเวียนใช้ใหม่แม้เป็นยาที่ยังไม่หมดอายุ เพราะฉลากระบุยังไม่หมดอายุ แต่ในการเก็บรักษายาของประชาชนอาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้" พญ.วิลาวัณย์ กล่าว

สำหรับประชาชนที่มียาเหลืออยู่ในบ้านอาจเนื่องมาจากหลายปัจจัย อาทิ ลืมกินยาในบางมื้อ ไม่ได้นำยาเก่ามาพบแพทย์เมื่อแพทย์นัด และขอเบิกยาใหม่เพราะลืมไม่รู้เก็บยาไว้ที่ไหน และแพทย์สั่งเปลี่ยนยาจากการที่อาการผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้รับคืนยาเก่าที่ยังไม่หมดจากผู้ป่วยจึงทำให้ยาเก่าเหลือจนหมดอายุ ทั้งนี้ยาเก่าที่เหลือติดบ้านของคนในพื้นที่ กทม.อาจจะไม่มากเท่าในพื้นที่ต่างจังหวัด เพราะหาซื้อยาและไปโรงพยาบาลได้สะดวกจึงไม่จำเป็นต้องสต็อกยา

ช่วงต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สธ.ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมีประชาชนนำยาเก่ามาคืนจำนวนทั้งสิ้น 37,792,027 เม็ด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท

อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ข้อแนะนำในการใช้ยาคือ 1.หากเป็นยาสามัญประจำบ้านจะต้องมีเก็บติดบ้านไว้ แต่จำนวนต้องไม่มากเกินไป 2.การซื้อยามารับประทานเองจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และ3.กลุ่มยาปฏิชีวนะควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากไม่เพียงแค่เสียยาเท่านั้น แต่ยังเสียคุณภาพยาในการรักษาโดยรวมจากการที่เชื้อดื้อยา จนต้องหายาใหม่มารักษาโรคเก่าด้วย เช่น วัณโรคที่มีการดื้อยามากขึ้น จากการที่ผู้ป่วยรับยาแล้วกินไม่หมด กลายเป็นภาวะเชื้อดื้อยารุนแรงอย่างปัจจุบัน