พายุโซนร้อนเออร์เนสโตได้ทำให้ปริมาณน้ำฝนเพิ่มสูงขึ้นและสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินต่างๆเมื่อพายุดังกล่าวเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกผ่านพื้นที่ตอนใต้ของสาธารณรัฐโดมินิกัน ซึ่งทำให้ 11 จังหวัดตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยอย่างฉับพลันและเหตุฉุกเฉินอื่นๆ
รายงานล่าสุดจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของโดมินิกัน (Onamet) เมื่อ 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ เวลา 24.00 น.ตามเวลาไทยเมื่อคืนนี้ ระบุว่าพายุเออร์เนสโต ซึ่งเป็นพายุลูกที่ 5 ของฤดูกาลนี้อ ยู่ที่พิกัด 350 กิโลเมตรทางทิศใต้ถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจาไมก้าและเคลื่อนที่ต่อไปเข้าสู่โดมินิกันที่ความเร็ว 37 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางอยู่ที่ 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“เมฆกลุ่มใหญ่ที่มากับพายุเออร์เนสโตจะส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศของโดมินิกันในช่วงบ่ายและค่ำ" Onamet ให้ข้อมูลโดยคาดว่าสภาวะภูมิอากาศจะดีขึ้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เมื่อวานนี้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินของโดมินิกัน (COE) ได้ตัดสินใจคงระดับหารเฝ้าระวังไว้ที่สีเหลือง (ระดับปานกลาง) ใน 5 จังหวัดของประเทศที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยและดินถล่ม ซึ่งรวมถึงกรุงซานโตโดมิงโก ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ขณะที่ในอีก 6 เมืองได้รับการประเมินในสถานะเฝ้าระวังสีเขียว (ระดับต่ำ)
สำหรับพื้นที่ใกล้เคียงกับเมืองหลวงของโดมินิกัน ระดับน้ำในแม่น้ำที่เอ่อล้นตลิ่งได้สร้างความเสียหายแก่บ้าน 3 หลังและตัดเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ส่วนที่เมืองซานเปโดร เด มากอริส ห่างจากกรุงซานโต โดมิงโก 72 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก แรงลมได้สร้างความเสียหายแก่เสากระจายเสียงวิทยุ
COE ได้รายงานเพิ่มเติมว่าเมื่อวันเสาร์พายุเออร์เนสโตได้ส่งผลให้ต้นไม้โค่นล้ม ขณะที่เสาไฟ และป้ายสัญลักษณ์จราจรต่างๆหักโค่น ซึ่งเป็นเหตุให้ประธานาธิบดีลีโอเนล เฟอร์นันเดซยกเลิกภารกิจกระทันหัน สำนักข่าวซินหัวรายงาน