ม.ล.อนุมาศ ทองแถม ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 8 กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 5 แห่งคือ เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนมูลบน เขื่อนลำแซะ และเขื่อนลำนางรอง อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งมีปริมาณค่อนข้างน้อยแต่ไม่ถึงขั้นวิกฤต ยกเว้นเขื่อนลำพระเพลิงที่มีปริมาณน้ำเพียงร้อยละ 14 ของปริมาณการกักเก็บเท่านั้น
เนื่องจากเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนานมากกว่าปกติ ทำให้กรมชลประทานต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนไปช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวนาปีได้รับความเสียหาย ซึ่งในพื้นที่อีสานใต้ทั้ง 4 จังหวัดมีพื้นที่ทำนาปีในเขตชลประทานถึง 1.2 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นด้วยจากปกติประมาณ 200,000 กว่าไร่ เพิ่มขึ้นประมาณ 350,000 ไร่ จึงทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในเดือนตุลาคม 2555 ฝนจะเริ่มตก ซึ่งจะทำให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อน กรมชลประทานก็จะหยุดปล่อยน้ำจากเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งปีถัดไป ซึ่งคาดว่าหลังสิ้นฤดูฝนเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 5 แห่งดังกล่าวจะมีปริมาณน้ำไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณการกักเก็บ
"ตามแผนที่วางไว้นั้น กรมชลประทานจะหยุดส่งน้ำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรทำนาปี ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า ฝนยังไม่ตก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรต่อไป ทำให้ข้าวนาปีในเขตชลประทานทั้ง 1.2 ล้านไร่ไม่ได้รับความเสียหาย ยกเว้นพื้นที่นอกเขตชลประทาน ข้าวนาปีอาจจะได้รับความเสียหายจากภาวะฝนทิ้งช่วงดังกล่าว" ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 8 กล่าว
สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่นอกเขตชลประทานนั้น กรมชลประทานได้เตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลือทันทีที่มีการร้องขอ แต่มีปัญหาที่ไม่มีแหล่งน้ำที่จะให้สูบน้ำ เนื่องจากแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง บึง ไม่มีน้ำเพียงพอที่จะสูบช่วยเหลือเกษตรกรได้ เนื่องจากเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงค่อนข้างยาวนานกว่าทุกปีจนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติแห้งขอด ส่วนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคนั้น กรมชลประทานได้ประสานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในการส่งรถบรรทุกน้ำเข้าไปช่วยเหลือแล้ว