นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาว่า ตามที่ตลอดระยะเวลา 3-4 วันที่ผ่านมาเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดกำแพงเพชร วัดปริมาณน้ำสูงสุดได้ 161.40 มิลลิเมตร ส่งผลให้มีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลลงสู่แม่น้ำปิง และไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ตามลำดับ ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น วัดปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดที่สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ (10 ก.ย.) ได้ 1,861 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ปริมาณน้ำสูงสุดที่รับได้คือ 3,590 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที)
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ควบคุมปริมาณน้ำให้ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในเกณฑ์ 1,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ในขณะที่เขื่อนเจ้าพระยามีขีดจำกัดในการรับน้ำได้สูงสุด 2,840 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ปริมาณน้ำดังกล่าวนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางด้านท้ายเขื่อน ยกเว้นในพื้นที่ลุ่มต่ำบางแห่งบริเวณคลองโผงเผง ที่มักจะเกิดน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเป็นที่ลุ่มต่ำน้ำท่วมถึงโดยธรรมชาติ และไม่มีระบบป้องกันน้ำล้นตลิ่ง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ต่างทราบและเข้าใจในสภาพพื้นที่ของตนเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ได้ดำเนินกันมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่อาศัยอยู่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา รวมถึงริมคลองโผงเผง ทราบถึงสถานการณ์น้ำก่อนหน้านี้ไปแล้ว ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้มีการเตรียมรับมือและยกสิ่งของไว้บนที่สูงแล้วเช่นกัน
พร้อมกันนี้ ยังเสนอแนวคิดที่จะทำให้คลองโผงเผง และคลองบางบาลสามารถรับน้ำได้มากขึ้น จะทำให้การบริหารจัดการน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากในปีน้ำปกติเขื่อนเจ้าพระยาจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที