สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "ขบวนการทุจริตคอรัปชั่นงาบงบภัยพิบัติ และการเพิ่มโทษขบวนการทุจริตคอรัปชั่นในสายตาประชาชน" พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 59.4% เคลือบแคลงสงสัยการใช้จ่ายงบภัยพิบัติของหน่วยงานราชการของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขณะเดียวกันประชาชน 62.8% ยังไม่เชื่อมั่นต่อหน่วยงานราชการในการใช้จ่ายงบประมาณภัยพิบัติว่าจะโปร่งใส และมองว่ามีการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 94.9% ระบุว่า ควรติดประกาศเผยแพร่รายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณภัยพิบัติให้สาธารณชนทราบ โดยเมื่อสอบถามว่ามีการทุจริตงบประมาณภัยพิบัติจริงตามที่เลขาธิการคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)ตรวจพบนั้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 74.8% คิดว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นจริง
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจำนวนผู้ใหญ่ที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริตในสังคมไทยคอยดูแลปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ซื่อสัตย์สุจริต พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 75.4% เชื่อว่ามีเหลือน้อยถึงไม่มีเลย ในขณะที่ 24.6% เชื่อว่ายังมีค่อนข้างมากถึงมาก จากผลการสำรวจยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 82.7% ระบุว่า รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในการคุ้มครองพยานและเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลการทุจริต การใช้งบประมาณภัยพิบัติต่างๆ ในขณะที่ประชาชน 17.3% ระบุว่า มีความชัดเจนแล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามถึงขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่รัฐที่เห็นหัวหน้าตนเองโดนโยกย้ายหลังจากออกมาเปิดโปงขบวนการทุจริตคอรัปชั่น พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 81.4% ระบุเสียขวัญกำลังใจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังกลัวภัยคุกคาม ถ้าออกมาเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นในชุมชนของตนเอง เพราะรัฐบาลไม่จริงจังคุ้มครองพยานอย่างต่อเนื่อง, เจ้าหน้าที่รัฐเองยังไม่มั่นคงไม่ปลอดภัย, ไว้ใจใครไม่ได้, ยังไม่มีเสาหลักหรือผู้ใหญ่คนไหนของสังคมไทยที่เป็นต้นแบบต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น และส่วนใหญ่มีประวัติไม่ซื่อสัตย์กันทั้งนั้น เป็นต้น
จากการสอบถามยังพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 93.8% ระบุควรเพิ่มโทษจำคุกตลอดชีวิตถึงประหารชีวิตกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตคอรัปชั่นงบภัยพิบัติ เพราะถือว่าหากินบนความทุกข์เดือดร้อนของประชาชน, จะได้เกรงกลัวต่อบทลงโทษ, จะได้แก้ไขหรือหยุดคอรัปชั่นได้อย่างแท้จริง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นต่อประชาธิปไตย และระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้มีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นมากมาย เพราะ เป็นการปกครองที่ประชาชนยังมีโอกาสวิพากษ์วิจารณ์ มีส่วนร่วม มีสิทธิมีเสียง สาธารณชนยังมีโอกาสตรวจสอบหรือรับรู้ได้
อนึ่ง ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของประชาชนเฉพาะคนที่ติดตามข่าวการเมืองใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี, สมุทรปราการ, พระนครศรีอยุธา, ชลบุรี, สุพรรณบุรี, พิจิตร, เพชรบูรณ์, เชียงใหม่, นครราชสีมา, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ขอนแก่น, อุดรธานี, ชุมพร, พัทลุง และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 1,542 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการวันที่ 8-12 ก.ย.55