นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลปัญหาน้ำท่วมขังและการระบายน้ำในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล และปัญหาการจราจรติดขัดใน กทม. กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาจราจรและน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยใช้กลไกทางด้านการบริหาร เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็จ มีประสิทธิภาพ และเอกภาพ
โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.) ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนในกรุงเทพฯ โดยมีนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม เป็นประธานอนุกรรมการฯ และตนเองเป็นรองประธานอนุกรรมการฯ ซึ่งจะเป็นกลไกที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน ขณะเดียวกันจะมีรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รอง ผบช.น.) ที่ดูแลงานจราจรเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินที่มีอำนาจสั่งการข้ามหน่วยงานได้เพื่อให้สามารถบูรณาการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
รมช.คมนาคม กล่าวว่า ในระยะเร่งด่วนจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจราจร ได้แก่ ถนนวิภาวดีบริเวณแยกดินแดง, ถนนรัชดาภิเษก, ถนนพราม 9, ถนนราชวิถี, ถนนศรีนครินทร์, ซอยพร้อมพงศ์ จะประสานกับทาง กทม.เกี่ยวกับแนวทางการระบายน้ำ จัดหาพื้นที่แก้มลิงในบริเวณใกล้เคียง ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม และจัดเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย ซึ่งมีอุปกรณ์ซ่อมรถและลากรถเตรียมพร้อมไว้
นอกจากนี้จะประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาเรื่องจุดฝืด เช่น ประสานกรมการขนส่งทางบกเรื่องจัดระเบียบจุดจอดรับ-ส่งรถตู้โดยสารสาธารณะ, ประสานการทางพิเศษฯ เรื่องการอำนวยความสะดวกบริเวณด่านเก็บเงิน, ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่องการกวดขันวินัยจราจรอย่างเคร่งครัด เป็นต้น
ทั้งนี้ ให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานลงพื้นที่ทุกเช้า-เย็นเพื่อรับทราบปัญหา หากเรื่องใดแก้ปัญหาได้ให้ดำเนินการทันที หากแก้ไขไม่ได้ให้นำมาเสนอที่ประชุม คจร.
รมช.คมนาคม กล่าวว่า มาตรการที่ได้ดำเนินการไปทั้งหมดจะมีตัวชี้วัด เช่น การระบายน้ำท่วมขัง หากมีปริมาณน้ำฝนไม่เกิน 60 มม.จะสามารถระบายน้ำได้ภายในกี่นาที ถ้าเกิน 60 มม.จะใช้เวลากี่นาที, หากมีรถเสียบนเขตทางหลวงหรือทางด่วนจะต้องใช้เวลาเคลื่อนย้ายให้พ้นการกีดขวางภายในเวลากี่นาที
รมช.คมนาคม ยังปฏิเสธว่า ปัญหาจราจรติดขัดไม่ได้มีสาเหตุหลักจากโครงการรถยนต์คันแรก เพราะจากสถิติในอดีตช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมีการจดทะเบียนรถยนต์จำนวน 4.1 แสนคัน ขณะที่มีโครงการฯ มีการจดทะเบียนจำนวน 4.3 แสนคัน ซึ่งแตกต่างกันไม่มากนัก
"ถ้าเราไปบอกว่าที่รถติดเพราะปริมาณรถเยอะ เหมือนกับเรายอมแพ้ มันมีปัญหาที่เราสามารถปรับปรุงได้เยอะแยะ ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีอะไรที่ปรับปรุงให้ดีได้หลายอย่าง" นายชัชชาติ กล่าว
ส่วนเรื่องการเหลื่อมเวลารอให้สำนักงานนโยบายและแผนจราจร(สนข.) พิจารณารายละเอียดอีกครั้ง เพื่อกำหนดช่วงเวลาให้ชัดเจนและเหมาะสม นอกจากนี้ขอยืนยันว่า การดำเนินการเรื่องนี้ไม่ได้หวังผลในทางการเมือง
รมช.คมนาคม กล่าวว่า เนื่องจากผิวจราจรมีจำกัด หากส่งเสริมให้มีการใช้รถสาธารณะได้จะดีกว่า ซึ่งจะเป็นมาตรการในระยะยาวต่อไป ทั้งเรื่องระบบขนส่งมวลชน 20 สาย การใช้ตั๋วร่วม เพื่อลดปริมาณรถบนท้องถนน แต่วันนี้บริการขนส่งสาธารณะยังไม่มีความพร้อม ยังไม่มีทางเลือกให้ประชาชน จึงไม่สามารถที่จะมีมาตรการออกมาบังคับไม่ให้คนใช้รถยนต์ส่วนตัว แต่ในอนาคตหากมีบริการขนส่งสาธารณะพร้อมแล้วก็อาจมีมาตรการควบคุมการใช้รถยนต์ส่วนตัว